คำพิพากษาฎีกาที่7945/2540 | |
ห้างหุ้นส่วนจำกัดยะลาพัฒนา | โจทก์ |
กรมสรรพากร | จำเลย |
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225พระราชบัญญัติจัดตั้งศาล | |
ภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 29 ในวันชี้สองสถานศาลได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าสัญญาที่โจทก์ทำกับผู้ว่าจ้าง โจทก์ในฐานะผู้ประกอบการจะต้องเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามฟ้องหรือไม่ แต่ปรากฎในระหว่างพิจารณา โจทก์และจำเลยทั้งสี่ได้แถลงรับข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2535 โจทก์ได้จดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 ต่อมาได้แถลงรับข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่าสัญญาที่โจทก์ทำกับส่วนราชการและเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ได้นำรายรับดังกล่าวมาประเมินภาษีเป็นคดีนี้นั้น เป็นสัญญาที่ทำขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2535 เป็นต้นไป โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องนำรายรับจากสัญญาดังกล่าวมายื่นในแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และโจทก์จะใช้สิทธิเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากคู่สัญญาต่อไป ประเด็นที่ว่าโจทก์ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ จึงยุติไปแล้ว และศาลภาษีอากรกลางก็มิได้ยกขึ้นวินิจฉัยอีก การที่โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่ต้องรับผิดชำระภาษีมูลค่าเพิ่มในกรณีนี้ ทั้งในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายจึงถือได้ว่าเป็นข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว โดยชอบในศาลชั้นต้น ทั้งไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ประกอบมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้ ส่วนประเด็นที่ว่าโจทก์ก็มีสิทธินำภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อสินค้าหรือรับบริการที่ใช้กับงานตามสัญญาที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 1 มกราคม 2535 มาขอคืนภาษีได้หรือไม่นั้น ในระหว่างพิจารณาโจทก์แถลงยอมรับว่าการคำนวณของเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 นั้น ถูกต้องแล้ว ประเด็นที่ว่าโจทก์มีสิทธินำภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อสินค้าหรือรับบริการที่ใช้กับงานตามสัญญาที่ทำขึ้นก่อนวันที่ 1 มกราคม 2535 มาขอคืนภาษีได้หรือไม่ จึงยุติไปแล้ว โจทก์จะยกขึ้นมาอุทธรณ์อีกไม่ได้ |