| |||||||
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 411) พ.ศ. 2545 อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การโอนกิจการบางส่วนให้แก่กันของบริษัทมหาชนจำกัด หรือบริษัทจำกัด ดังต่อไปนี้ ข้อ 1 ต้องเป็นการโอนกิจการบางส่วนให้แก่กันของบริษัทมหาชนจำกัด หรือบริษัทจำกัดที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย และต้องเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร โดยความเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกันจะต้องเป็นอยู่ต่อไปไม่น้อยกว่าหกเดือนนับแต่วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2546 บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกันตามวรรคหนึ่ง ให้หมายความรวมถึงบริษัทผู้โอนกิจการถือหุ้นในบริษัทที่ถือหุ้นในบริษัทผู้รับโอนกิจการอีกทอดหนึ่งต่อเนื่องกัน โดยการถือหุ้นของบริษัทดังกล่าวมีจำนวนร้อยละร้อยของจำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดของบริษัทที่ถูกถือหุ้นนั้น เว้นแต่การถือหุ้นในบริษัทผู้รับโอนกิจการได้มีการเปลี่ยนแปลงจำนวนที่ถูกถือหุ้นภายหลังการโอนกิจการ โดยการถือหุ้นยังคงมีจำนวนเกินกว่าร้อยละห้าสิบของจำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดของบริษัทผู้รับโอนกิจการ ทั้งนี้ บริษัทผู้รับโอนกิจการจะต้องมีทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนและชำระแล้วไม่น้อยกว่าราคาทรัพย์สินสุทธิที่โอน ข้อ 2 บริษัทผู้โอนกิจการและบริษัทผู้รับโอนกิจการจะต้องโอนกิจการบางส่วนให้แก่กันให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2546 โดยบริษัทผู้โอนกิจการและบริษัทผู้รับโอนกิจการจะต้องร่วมกันทำหนังสือแจ้งการโอนกิจการและส่งแผนปรับปรุงโครงสร้างองค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ พร้อมกับแสดงรายการทรัพย์สินที่โอนต่ออธิบดีกรมสรรพากร ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของบริษัทผู้โอนกิจการ ก่อนที่จะมีการโอนกิจการ ข้อ 3 ต้องเป็นการโอนทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับประเภทของกิจการที่โอนนั้น ซึ่งมิใช่เป็นการขายอันเป็นปกติธุระและบริษัทผู้รับโอนกิจการต้องนำไปดำเนินกิจการในลักษณะเดียวกันหรือ กิจการที่เกี่ยวเนื่องต่อไป ข้อ 4 กรณีบริษัทผู้โอนกิจการเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม บริษัทผู้รับโอนกิจการจะต้องเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยคำนวณภาษี ตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร และบริษัทผู้รับโอนกิจการจะต้องนำสินค้าหรือทรัพย์สินที่โอนนั้นไปใช้ในกิจการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มของบริษัทโดยตรง ข้อ 5 บริษัทผู้รับโอนกิจการต้องไม่นำผลขาดทุนสุทธิ ตามมาตรา 65 ตรี (12) แห่งประมวลรัษฎากร ของตนเอง ก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปีที่รับโอนกิจการมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ ตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีปีที่โอนกิจการเป็นต้นไป ทั้งนี้ ให้ผู้สอบบัญชีหมายเหตุการไม่นำผลขาดทุนสุทธิมาถือเป็นรายจ่ายตามวรรคหนึ่งประกอบงบการเงินทุกรอบระยะเวลาบัญชีที่ไม่ได้นำมาถือเป็นรายจ่ายด้วย ข้อ 6 บริษัทผู้โอนกิจการและบริษัทผู้รับโอนกิจการจะต้องไม่เป็นลูกหนี้ภาษีอากรค้างของกรมสรรพากร ณ วันที่โอนกิจการ เว้นแต่จะได้มีการค้ำประกันหนี้ภาษีอากรตามระเบียบที่กรมสรรพากรกำหนดแล้ว ข้อ 7 ผู้สอบบัญชีของบริษัทผู้โอนกิจการและบริษัทผู้รับโอนกิจการต้องมีคุณสมบัติตามข้อ 3(1)(2) และ (3) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 43) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ตามมาตรา 67 ทวิ (2) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2535 และเป็นผู้รับรองผลการประกอบกิจการและการเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกันตามข้อ 1 ข้อ 8 กำหนดให้แบบต่อไปนี้ เป็นแบบเกี่ยวกับการโอนกิจการบางส่วนให้แก่กันของบริษัทมหาชนจำกัดหรือบริษัทจำกัด เพื่อยกเว้นรัษฎากร (1) แบบ อ.บ.1 หนังสือแจ้งการโอนกิจการบางส่วนให้แก่กัน (2) แบบ อ.บ.2 แบบแจ้งรายการทรัพย์สินที่โอน (3) แบบ อ.บ.3 แบบแจ้งการเป็นลูกหนี้ค่าภาษีอากรสำหรับการโอนกิจการบางส่วนให้แก่กันของบริษัทมหาชนจำกัดหรือบริษัทจำกัด (4) แบบ อ.บ.4 แบบหนังสือรับรองการเป็นบริษัทในเครือเดียวกัน ข้อ 9 กรณีมีปัญหาในการปฏิบัติ ให้อธิบดีกรมสรรพากรมีอำนาจวินิจฉัย และคำวินิจฉัยของอธิบดีกรมสรรพากร ให้ถือเป็นหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดตามประกาศนี้ด้วย ข้อ 10 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2546 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2546 | |||||||
| |||||||
หน้าจอหลักบริการสารสรรพากร : : หน้าจอหลัก ม.ค. 46 : : หน้าก่อน : : หน้าต่อไป |