เมนูปิด

คำสั่งกรมสรรพากร
ที่ ป.130/2547
เรื่องภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีธุรกิจเฉพาะ กรณีการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต
--------------------------------
      เพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการตรวจและแนะนำผู้เสียภาษีที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต สำหรับการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีธุรกิจเฉพาะกรณี การประกอบธุรกิจบัตรเครดิต กรมสรรพากรจึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้

      ข้อ   1  คำว่า “ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต” หมายความว่า ผู้ประกอบการที่ออกบัตรเครดิตให้แก่ผู้ถือบัตรเพื่อใช้ชำระราคาสินค้า ค่าบริการ หรือเพื่อใช้ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ จากบัตรเครดิต โดยผู้ประกอบการจะเป็นผู้ชำระราคาสินค้า หรือค่าบริการให้แก่ผู้รับบัตรแทนผู้ถือบัตรก่อน ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรต้องชำระค่าธรรมเนียม ค่าบริการ ดอกเบี้ย หรือค่าตอบแทนจากการใช้ประโยชน์ในบัตรเครดิตนั้น

                  คำว่า “ผู้ถือบัตร” หมายความว่า บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลซึ่งได้รับการออกบัตรเครดิต เพื่อใช้ชำระราคาสินค้าหรือค่าบริการให้แก่ผู้รับบัตร หรือเพื่อใช้ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ จากบัตรเครดิต นอกจากนี้ให้หมายความรวมถึงผู้ที่ได้รับการออกบัตรเครดิตประเภทบัตรเสริมด้วย

      คำว่า “ผู้รับบัตร” หมายความว่า ผู้ประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการซึ่งตกลงรับชำระราคาสินค้าหรือค่าบริการด้วยบัตรเครดิตจากผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต

      ข้อ   2  การประกอบธุรกิจบัตรเครดิตเป็นกิจการเฉพาะอย่างที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับกิจการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ซึ่งกฎหมายกำหนดให้เป็นกิจการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ทั้งนี้ ตามมาตรา 91/4(2) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับมาตรา 3(2) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดกิจการเฉพาะอย่างที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับกิจการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะให้เป็นกิจการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 246) พ.ศ.2534

                  การประกอบกิจการของผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตที่ไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามวรรคหนึ่ง แต่เข้าลักษณะเป็นการประกอบกิจการการธนาคารตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์หรือกฎหมายเฉพาะหรือการประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ ตามมาตรา 91/2(1) และ (5) แห่งประมวลรัษฎากร ให้อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ

      ข้อ   3  ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตตามข้อ 2 วรรคหนึ่ง ซึ่งได้ให้บริการในราชอาณาจักรมีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 และมาตรา 82 แห่งประมวลรัษฎากร โดยคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร

                  การให้บริการตามวรรคหนึ่ง ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นเมื่อได้รับชำระราคาค่าบริการ เว้นแต่กรณีที่ได้มีการออกใบกำกับภาษีหรือได้ใช้บริการไม่ว่าโดยตนเองหรือบุคคลอื่นเกิดขึ้นก่อนได้รับชำระราคาค่าบริการ ก็ให้ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นตามส่วนของการกระทำนั้น ๆ แล้วแต่กรณี ตามมาตรา 78/1(1) แห่งประมวลรัษฎากร

      ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตตามวรรคหนึ่ง ต้องนำมูลค่าทั้งหมดที่ได้รับหรือพึงได้รับจากการประกอบธุรกิจบัตรเครดิตมารวมเป็นมูลค่าของฐานภาษีในการคำนวณเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 79 แห่งประมวลรัษฎากร โดยมูลค่าของฐานภาษีที่ต้องนำไปรวมคำนวณเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตัวอย่างเช่น

                  (1)  ค่าธรรมเนียมการเข้าเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของผู้ถือบัตร เช่น ค่าธรรมเนียมแรกเข้า (Membership fee) ค่าธรรมเนียมรายปี (Annual fee) ค่าทำบัตรใหม่

                  (2)  ค่าธรรมเนียมการขอเอกสารเกี่ยวกับบัตรเครดิต

                  (3)  ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายใด ๆ ในการให้บริการเบิกถอนเงินสดผ่านบัตรเครดิตที่เรียกเก็บจากผู้ถือบัตรได้ไม่เกินอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด ไม่ว่าการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายจะเรียกชื่ออย่างใดก็ตาม เช่น Cash advance fee ATM service fee (สำหรับบัตรเครดิต) Transaction fee ค่าธรรมเนียมการเบิกถอนเงินสดล่วงหน้าของผู้ถือบัตรไทยในต่างประเทศ

                  (4)  ค่าบริการใช้เครื่องรูดบัตรที่เรียกเก็บจากผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตรายอื่น

                  (5)  ส่วนลด (Discount revenue) ที่ได้รับจากร้านค้าสมาชิกในประเทศและต่างประเทศ

                  (6)  ค่าตอบแทนที่ได้รับจากผู้รับบัตรเนื่องจากการจัดรายการส่งเสริมการขายร่วมกัน

                  (7)  ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการติดตามทวงถามการชำระหนี้จากบัตรเครดิตที่เรียกเก็บจากผู้ถือบัตร

                  (8)  ค่าธรรมเนียมการชำระเงินจากบัตรเครดิตที่เรียกเก็บจากผู้ถือบัตร

                  (9)  ส่วนแบ่งรายได้จากการใช้บัตรเครดิต (Billing credit)

      ข้อ   4  ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตตามข้อ 2 วรรคสอง ในราชอาณาจักร มีหน้าที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามมาตรา 91/2 แห่งประมวลรัษฎากร ในอัตราร้อยละ 3.0 ของรายรับตามมาตรา 91/6 แห่งประมวลรัษฎากร

                  ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตต้องนำรายรับที่ได้รับหรือพึงได้รับเนื่องจากการประกอบกิจการมารวมคำนวณเป็นรายรับในการคำนวณเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 91/5 แห่งประมวลรัษฎากร โดยรายรับที่ต้องนำไปรวมคำนวณเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ตัวอย่างเช่น

                  (1)  ดอกเบี้ยในหนี้ค้างชำระ (Interest rate) หรือดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดชำระหนี้ หรือค่าปรับในการชำระหนี้ล่าช้ากว่ากำหนด (Late payment penalties) หรือค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการอื่นใดที่มีลักษณะทำนองเดียวกันซึ่งเรียกเก็บจากผู้ถือบัตร

                  (2)  ดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากผู้ถือบัตรจากการให้ผู้ถือบัตรผ่อนชำระหนี้เป็นงวด

                  (3)  ดอกเบี้ยการเบิกถอนเงินสดผ่านบัตรเครดิตจากผู้ถือบัตร (Interest on cash advance)

                  (4)  ค่าธรรมเนียมการโอนเงินระหว่างผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต (Interchange fee)

      ข้อ   5  บรรดาระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง หนังสือตอบข้อหารือ หรือทางปฏิบัติใดที่ขัดหรือแย้งกับคำสั่งนี้ให้เป็นอันยกเลิก
สั่ง ณ วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2547
ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์
(ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์)
อธิบดีกรมสรรพากร

 

 

ปรับปรุงล่าสุด: 21-10-2004