เมนูปิด

เลขที่หนังสือ: กค 0811/01574
วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2541
เรื่อง: ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการคำนวณสินค้าคงเหลือตามมาตรา 65 ทวิ (6) แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อกฎหมาย: ประเด็นปัญหา
ข้อหารือ: บริษัทฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อทำการค้าอสังหาริมทรัพย์ จัดสร้างอาคารเพื่อขายและประกอบ
ธุรกิจอื่น ๆ บริษัทฯ ได้ซื้อที่ดินว่างเปล่าแปลงหนึ่ง เนื่องจากการซื้อที่ดินดังกล่าว บริษัทฯ มีเงินทุนไม่เพียงพอ จึงได้ขอกู้เงินจากธนาคาร โดยบริษัทฯ ได้นำที่ดินดังกล่าวค้ำประกันจำนองกับธนาคาร พร้อมด้วยกรรมการบริษัทได้ค้ำประกันอีกชั้นหนึ่งด้วย เงินที่กู้มาดังกล่าวบริษัทฯ ได้นำไปชำระค่าที่ดิน ส่วนที่เหลือบริษัทฯ ได้นำมาพัฒนาที่ดินและก่อสร้างสาธารณูปโภค เนื่องจากภาวะทางเศรษฐกิจถดถอย บริษัทฯ จึงไม่สามารถขายที่ดินได้ทำให้บริษัทฯ ต้องรับภาระดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาโดยต้นทุนที่ดินตามบัญชีในขณะนี้ราคาไร่ละประมาณ 4.4 ล้านบาท แต่ธนาคารได้แจ้งให้กับบริษัทฯ ทราบว่า ตามมาตรการใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งเดิมธนาคารเคยประเมินที่ดินให้ค่าสูงถึง 4.8 ล้านบาทต่อไร่ นั้น ธนาคารจะต้องลดค่าประเมินที่ดินลงเหลือเพียงไร่ละ 1.2 ล้านบาท และอาจจะต้อง
ปรับลดลงอีกอย่างน้อยในอัตราร้อยละ 15 ทุก ๆ 6 เดือนต่อ ๆ ไปโดยไม่ประเมินพื้นที่ส่วนที่เป็นส่วนของสาธารณะ พร้อมกับให้คำแนะนำกับบริษัทฯ ว่า บริษัทฯ ควรจะต้องขออนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรตามมาตรา 65 ทวิ (6) แห่งประมวลรัษฎากร ขอเปลี่ยนหลักเกณฑ์การคำนวณสินค้าคงเหลือจากราคาทุนเป็นราคาตลาดจริงคือ 1.2 ล้านบาท ต่อไร่ หรืออย่างสูงสุดคือ ไม่เกินราคาประเมินของที่ดินจังหวัด คือ ไร่ละ 1.5 ล้านบาท มิฉะนั้น งบการเงินของบริษัทฯ จะแสดงสถานะไม่ถูกต้อง บริษัทฯจะขอเปลี่ยนหลักเกณฑ์การคำนวณราคาสินค้าคงเหลือตามราคาทุนเป็นราคาประเมิน ทั้งนี้ ตามมาตรา 65 ทวิ (6) แห่งประมวลรัษฎากร ได้หรือไม่
แนววินิจฉัย: บริษัทฯ ประกอบกิจการค้าอสังหาริมทรัพย์ และมีที่ดินที่บริษัทฯ ได้จัดสรรไว้เพื่อขายคงเหลืออยู่ในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี บริษัทฯ จะตีราคาที่ดินซึ่งเป็นสินค้าคงเหลือตามราคาทุนหรือราคาตลาดแล้วแต่อย่างใดจะน้อยกว่า ตามมาตรา 65 ทวิ (6) แห่งประมวลรัษฎากรก็ได้
เลขตู้: 61/26382

 

 

 

 

ปรับปรุงล่าสุด: 22-05-2020