เลขที่หนังสือ | : กค 0811/05486 |
วันที่ | : 7 พฤษภาคม 2541 |
เรื่อง | : ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาระภาษีของกองทุนส่วนบุคคล |
ข้อกฎหมาย | : มาตรา 39, มาตรา 40 (4), มาตรา 47 (7) (ข),มาตรา 48 (3), มาตรา 50 (2), มาตรา 65 ทวิ, มาตรา 65 ตรี, มาตรา 77/1 (10) (ข),มาตรา 82/5 (6), กฎกระทรวง (ฉบับที่ 126) พ.ศ. 2509, คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 |
ข้อหารือ | : สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ได้พิจารณาให้ใบอนุญาต ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนส่วนบุคคลแก่ บลจ. ก. ในการประกอบธุรกิจ หลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนส่วนบุคคล บลจ. ก. จะต้องเสียภาษีอากร อย่างไรบ้าง |
แนววินิจฉัย | : ผู้เป็นเจ้าของกองทุนส่วนบุคคล คือ ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินที่นำไปมอบให้บริษัทที่ได้รับ อนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทจัดการกองทุนส่วนบุคคล ดังนั้น ผลประโยชน์ที่กองทุนส่วนบุคคลจะ ได้รับ แยกตามสถานะของผู้มีเงินได้จะมีภาระภาษีดังนี้ 1. กรณีผู้มีเงินได้เป็นบุคคลธรรมดา จะมีภาระภาษีแยกตามประเภทต่าง ๆ ของเงินได้ ดังนี้ (ก) กรณีผู้มีเงินได้เป็นบุคคลธรรมดาไม่ว่าจะเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยหรือไม่ หาก เงินได้ดังกล่าวเป็นดอกเบี้ยพันธบัตร ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร ดอกเบี้ยเงินฝากสหกรณ์ ดอกเบี้ยหุ้นกู้ ดอกเบี้ยตั๋วเงินที่ได้จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่ได้ จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น ดอกเบี้ยที่ได้จากสถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดย เฉพาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม พาณิชยกรรมหรือ อุตสาหกรรม อยู่ในบังคับต้องถูกหักภาษีเงินได้ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 15 ตามมาตรา 50 (2) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร และผู้มีเงินได้มีสิทธิเลือกเสียภาษีในอัตราร้อยละ 15 ของเงินได้โดยไม่ต้องนำไป รวมคำนวณภาษีตอนสิ้นปี ตามมาตรา 48 (3) (ก) แห่งประมวลรัษฎากร (ข) กรณีผู้มีเงินได้เป็นบุคคลธรรมดาไม่ว่าจะเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยหรือไม่ หาก เงินได้ดังกล่าวเป็นเงินได้ตามมาตรา 40 (4) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร อยู่ในบังคับต้องถูกหัก ภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 10 ตามมาตรา 50 (2) (จ) แห่งประมวลรัษฎากร และหาก ผู้มีเงินได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทยจะเลือกเสียภาษีในอัตราร้อยละ 10 ของเงินได้ โดยไม่ต้องนำไปรวม คำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ตอนสิ้นปี สำหรับเงินได้ตามมาตรา 40 (4) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร ที่ได้ รับจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยกองทุนรวมหรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมาย โดยเฉพาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรือ อุตสาหกรรม ตามมาตรา 48 (3) วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร ก็ได้ กรณีผู้มีเงินได้ตามมาตรา 40 (4) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร เป็นผู้มีภูมิลำเนาใน ประเทศไทยหรือเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยและได้รับเงินได้ดังกล่าวจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้ง ขึ้นตามกฎหมายไทย ได้รับเครดิตในการคำนวณภาษี โดยให้นำอัตราภาษีเงินได้ที่ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นต้องเสียหารด้วยผลต่างของหนึ่งร้อยลบด้วยอัตราภาษีเงินได้ดังกล่าวนั้น ได้ผลลัพธ์เท่าใดให้คูณด้วยจำนวนเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้รับ ผลลัพธ์ที่ได้เป็นเครดิตใน การคำนวณภาษี ตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร (ค) กรณีผู้มีเงินได้เป็นบุคคลธรรมดาไม่ว่าจะเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยหรือไม่ หาก เงินได้ดังกล่าวเป็นผลต่างระหว่างราคาไถ่ถอนกับราคาจำหน่ายตั๋วเงิน หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นเป็นผู้ออกและจำหน่ายครั้งแรกในราคาต่ำกว่าราคาไถ่ถอน และผู้มีเงินได้เป็นผู้ทรงคนแรก อยู่ในบังคับต้องถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 15 ตาม มาตรา 50 (2) (ค) แห่งประมวลรัษฎากร และผู้มีเงินได้มีสิทธิเลือกเสียภาษีในอัตราร้อยละ 15 โดย ไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีตอนสิ้นปีตามมาตรา 48 (3) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร (ง) กรณีผู้มีเงินได้เป็นบุคคลธรรมดาไม่ว่าจะเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยหรือไม่ หาก เงินได้ดังกล่าวเป็นเงินได้จากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แต่ไม่รวมถึงเงินได้ จากการขายหลักทรัพย์ที่เป็นหุ้นกู้หรือพันธบัตร ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ข้อ 2 (23) กรณีผู้มีเงินได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย และได้รับเงินได้ที่เป็นผลประโยชน์ที่ได้ จากการโอนหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทั้งนี้ เฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน อยู่ในบังคับต้องถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย โดยคำนวณหักตามอัตราภาษีเงินได้ตามมาตรา 50 (2) แห่ง ประมวลรัษฎากร กรณีผู้มีเงินได้มิได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย และได้รับเงินได้ที่เป็นผลประโยชน์ที่ ได้จากการโอนหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทั้งนี้ เฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน อยู่ในบังคับต้องถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 15 ตามมาตรา 50 (2) (ก) แห่ง ประมวลรัษฎากร เว้นแต่จะมีบทบัญญัติในอนุสัญญาภาษีซ้อนบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น (จ) กรณีผู้มีเงินได้เป็นบุคคลธรรมดาไม่ว่าจะเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยหรือไม่ หากได้ รับเงินได้ที่เป็นผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนพันธบัตร หุ้นกู้ หรือตั๋วเงินหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นเป็นผู้ออก เฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน อยู่ ในบังคับต้องถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 15 ตามมาตรา 50 (2) (ข) แห่ง ประมวลรัษฎากร และผู้มีเงินได้มีสิทธิเลือกไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีตอนสิ้นปี ตามมาตรา 48 (3) (ค) แห่งประมวลรัษฎากร เว้นแต่กรณีตามข้อ 2 (30) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออก ตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 196 (พ.ศ. 2538) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ผู้มีเงินได้ได้รับยกเว้น ไม่ต้องนำเงินได้ดังกล่าวไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ 2. กรณีผู้มีเงินได้เป็นกลุ่มบุคคลซึ่งประกอบด้วยบุคคลธรรมดาตั้งแต่สองคนขึ้นไป กลุ่มบุคคล ดังกล่าวมีฐานะเป็นคณะบุคคล หรือห้างหุ้นส่วนสามัญ ซึ่งมีภาระภาษีเช่นเดียวกับ 1. โดยผู้อำนวยการ หรือผู้จัดการเป็นผู้ยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมิน ในนามของคณะบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนสามัญ ตาม มาตรา 56 วรรคสองแห่งประมวลรัษฎากร เว้นแต่กรณีที่กลุ่มบุคคลดังกล่าวประกอบด้วย สามี ภรรยา โดยชอบด้วยกฎหมายและความเป็นสามีภริยามีอยู่ตลอดปีภาษี เงินได้ดังกล่าวเป็นเงินได้ของสามี 3. กรณีผู้มีเงินได้มีฐานะเป็น บุคคลธรรมดา คณะบุคคล ห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน มี หน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับในระหว่างปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว ภายในเดือน มีนาคมทุก ๆ ปี ตามมาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากร 4. กรณีผู้มีเงินได้เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนจำกัด และบริษัทจำกัด ผู้มีเงินได้ดังกล่าวมีฐานะเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งจะ มีภาระภาษีดังนี้ ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (ก) กรณีเงินได้ดังกล่าวเป็นเงินได้ตามมาตรา 40 (4) (ก) แห่ง ประมวลรัษฎากร เฉพาะที่เป็นดอกเบี้ยเงินฝาก ดอกเบี้ยตั๋วเงินที่ผู้จ่ายเงินได้เป็นธนาคารตามกฎหมาย ว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ และบริษัทตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และ ธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ และจ่ายให้แก่ผู้รับซึ่งเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการใน ประเทศไทย อยู่ในบังคับต้องถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 1.0 ตามคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หัก ภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 ข้อ 4 (1) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.19/2530 ลงวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2530 (ข) กรณีเงินได้ดังกล่าวเป็นเงินได้ตามมาตรา 40 (4) (ข) แห่ง ประมวลรัษฎากร ซึ่งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย กองทุนรวม สถาบันการเงินที่ มีกฎหมายโดยเฉพาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้น สำหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม ทั้งนี้ ไม่รวมถึงกิจการร่วมค้า ซึ่งเป็นผู้จ่ายให้แก่ผู้รับ ซึ่งเป็น บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศประกอบกิจการในประเทศไทยหรือ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย แต่ไม่รวมถึงบริษัทตาม (1) และ (2) ของข้อ 5 แห่งคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 ฯ อยู่ในบังคับต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 10.0 ตามข้อ 5 แห่งคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 ฯ (ค) กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ มิได้ ประกอบกิจการในประเทศไทย แต่ได้รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4) แห่งประมวลรัษฎากร ที่จ่ายจากหรือจ่ายในประเทศไทยอยู่ในบังคับต้องถูกหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายในอัตราร้อยละ 15 เว้นแต่เงินได้ตามมาตรา 40 (4) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร อยู่ในบังคับต้องถูกหักภาษีในอัตรา ร้อยละ 10 ตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร แต่ถ้าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตาม กฎหมายของต่างประเทศ มิได้ประกอบกิจการในประเทศไทยนั้น จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นในประเทศที่มี อนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนกับประเทศไทย ภาระภาษีย่อมเป็นไปตามบทบัญญัติในอนุสัญญา ดังกล่าว (ง) กรณีผู้มีเงินได้เป็นมูลนิธิ หรือสมาคมที่ประกอบกิจการซึ่งมีรายได้ ผู้มีเงินได้ ดังกล่าวมีฐานะเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร หากได้รับ เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4) (ก) แห่งประมวลรัษฎากร เฉพาะที่เป็นดอกเบี้ยเงินฝาก ดอกเบี้ยตั๋วเงิน ที่ธนาคารตามกฎหมายว่าด้วยธนาคารพาณิชย์และบริษัทตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบ ธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์เป็นผู้จ่ายอยู่ในบังคับต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ใน อัตราร้อยละ 10.0 ตามคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 ฯ ข้อ 4 (2) ภาษีเงินได้นิติบุคคล (ก) กรณีผู้มีเงินได้เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย หรือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศประกอบกิจการในประเทศไทยจะต้องเสียภาษีจากกำไรสุทธิ ตามมาตรา 66 แห่งประมวลรัษฎากร โดยคำนวณตามเงื่อนไขที่กำหนดในมาตรา 65 ทวิ และ 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร (ข) กรณีผู้มีเงินได้เป็นมูลนิธิหรือสมาคมที่ประกอบกิจการซึ่งมีรายได้อื่นมิใช่ รายได้ ตามมาตรา 65 ทวิ (13) แห่งประมวลรัษฎากร ต้องเสียภาษีจากยอดรายได้ก่อนหักรายจ่ายใน อัตราร้อยละ 10 และกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร จะได้รับการ ลดอัตราภาษีลงเหลือร้อยละ 2 5. กรณีผู้มีเงินได้เป็น วัด มูลนิธิหรือสมาคมที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดตามมาตรา 47 (7) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร ไม่มีฐานะเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามมาตรา 39 แห่ง ประมวลรัษฎากร จึงไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีแต่อย่างใด 6. ภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องจากกองทุนส่วนบุคคลเป็นการนำทรัพย์สินไปลงทุนโดยการนำ เงินไปฝากธนาคาร ซื้อหลักทรัพย์ ไม่อยู่ในความหมายของ "บริการ" ตามมาตรา 77/1 (10) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น กองทุนส่วนบุคคลจึงไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และไม่อยู่ในบังคับ ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ถ้ากองทุนส่วนบุคคลของผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มถูก เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการจัดการกองทุนส่วนบุคคล ภาษีซื้อดังกล่าวถือเป็นภาษีซื้อต้องห้าม ตาม มาตรา 82/5 (6) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 2 (3) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42) เรื่อง กำหนดภาษีซื้อที่ไม่ให้นำไปหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 82/5 (6) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2535 |
เลขตู้ | : 61/26656 |