เมนูปิด

เลขที่หนังสือ: กค 0811/พ.16051
วันที่: 20 พฤศจิกายน 2541
เรื่อง: ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย กรณีการคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา
ข้อกฎหมาย: มาตรา 9, มาตรา 65 ทวิ (5), ประกาศกระทรวงการคลัง ลงวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2541,
คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.71/2541 ฯ
ข้อหารือ: บริษัทฯ ประกอบกิจการการขายบริการ และมีบัญชีเงินฝากธนาคารเฉพาะเงินบาทเท่านั้น
(ไม่มีบัญชีเงินสกุลอื่น) บริษัทฯ มีธุรกรรมบางประการที่ต้องเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ เพื่อใช้เป็น
แนวทางในการปฏิบัติให้ถูกต้อง จึงขอทราบดังนี้
1. ในบางคราวบริษัทฯ จำเป็นต้องใช้บริการจากต่างประเทศและจะได้รับอินวอยส์เป็น
สกุลเงินต่างประเทศ เวลาบันทึกบัญชี โดยเดบิตค่าใช้จ่ายและเครดิตเจ้าหนี้ จะต้องใช้อัตราแลกเปลี่ยน
ตามมาตรา 9 หรือไม่
บริษัทฯ ไม่มีบัญชีธนาคารเป็นสกุลเงินต่างประเทศเวลาชำระหนี้ บริษัทฯ จะทำการ
โอนเงินผ่านธนาคารที่บริษัทฯ มีบัญชีอยู่โดยธนาคารจะเป็นผู้กำหนดอัตราแลกเปลี่ยนและหักจาก
บัญชีเงินฝากของบริษัทฯเลย กรณีนี้เวลาที่บริษัทฯ ยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มตามแบบ ภ.พ.36 และภาษีหัก ณ
ที่จ่ายตามแบบ ภ.ง.ด.54 จะใช้อัตราแลกเปลี่ยนจริงตามธนาคารได้เลยหรือไม่ หรือจะต้องใช้มาตรา
9 ในการคำนวญฐานภาษีใหม่
2. ลูกค้าบางรายทำสัญญาค่าบริการกับบริษัทฯ เป็นสกุลเงิน US$ โดยระบุว่าจะต้องชำระ
เป็นเงินบาทโดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนตาม TT selling ของธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง ณ วันชำระหนี้
2.1 กรณีที่บริษัทฯ ออกอินวอยส์จะต้องออกเป็นสกุลเงิน US$ จะต้องใช้
อัตราแลกเปลี่ยน ตามมาตรา 9 หรือไม่ ในการเดบิตลูกหนี้ และเครดิตรายได้
2.2 เมื่อมีการรับชำระหนี้ทางลูกค้าจะโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของบริษัทฯ เลย
ตามที่ระบุไว้ในสัญญา บริษัทฯ สามารถใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามจริงของธนาคารเป็นตัวคำนวณฐานภาษีใน
การออกใบกำกับภาษีขายและภาษีหัก ณ ที่จ่ายได้เลยหรือไม่ หรือจะต้องใช้มาตรา 9 ในการคำนวณ
ฐานภาษีใหม่
3. บริษัทฯ ได้ให้บริษัทที่มีส่วนเกี่ยวข้องกันในต่างประเทศกู้เงินไปจำนวนหนึ่งเป็นสกุลเงิน
US$ โดยบริษัทฯ จะจัดส่งอินวอยส์ค่าดอกเบี้ยให้เป็นประจำทุกเดือน ในกรณีนี้ตอนเดบิตลูกหนี้ และ
เครดิตรายได้ค่าดอกเบี้ยจะต้องใช้มาตรา 9 หรือไม่
แนววินิจฉัย: 1. ในการบันทึกบัญชีของบริษัทฯ ให้เป็นไปตามวิธีการ หลักเกณฑ์ และการปฏิบัติทางบัญชีที่
รับรองทั่วไป กฎหมายไม่ได้กำหนดให้ต้องคำนวณค่าหรือราคาเป็นเงินตราไทย เพื่อปฏิบัติตาม
ประมวลรัษฎากรแต่อย่างใด
2. กรณีตาม 1. บริษัทฯ มีการชำระค่าบริการเป็นเงินตราต่างประเทศ ในระหว่างรอบ
ระยะเวลาบัญชี บริษัทฯ ต้องคำนวณค่าหรือราคาเป็นเงินตราไทยตามราคาตลาดในวันที่ชำระหนี้นั้น ตาม
มาตรา 65 ทวิ (5) วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร
สำหรับการนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มตามแบบ ภ.พ.36 และในการนำส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
ตามแบบ ภ.ง.ด.54 ให้บริษัทฯ คำนวณภาษีที่ต้องนำส่งโดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามอัตราอ้างอิง
(อัตราขายถัวเฉลี่ย) ประจำวันที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศไว้เป็นอัตราแลกเปลี่ยนใน
การคำนวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยของวันถัดไป ตามมาตรา 9 แห่งประมวลรัษฎากร ตาม
ประกาศกระทรวงการคลังเรื่อง อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทย ตามมาตรา 9
แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2541
3. กรณีตาม 2. บริษัทฯ คิดค่าบริการกับลูกค้าโดยตกลงราคาเป็นเงินตราต่างประเทศ
บริษัทฯต้องแสดงมูลค่าของค่าบริการและจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นหน่วยเงินตราไทยในใบกำกับภาษี โดย
ให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยตามอัตราอ้างอิงประจำวัน (อัตราซื้อ
ถัวเฉลี่ย) ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศ ทั้งนี้ ตามมาตรา 9 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ
2 (1) แห่งคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.71/2541 ฯ ลงวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2541 ดังนี้(1) กรณีได้
รับชำระเป็นเช็คหรือตั๋วแลกเงิน ให้ใช้อัตราซื้อถัวเฉลี่ยทางตั๋วเงิน(2) กรณีได้รับชำระโดยวิธีโอนเงิน
ผ่านธนาคาร ให้ใช้อัตราซื้อถัวเฉลี่ยทางโทรเลข
4. กรณีตาม 3. ในการลงบัญชีลูกหนี้และรายได้ค่าดอกเบี้ยที่เป็นเงินตราต่างประเทศ
กฎหมายไม่ได้กำหนดให้ต้องคำนวณค่าหรือราคาเป็นเงินตราไทย เพื่อปฏิบัติตามประมวลรัษฎากร แต่
อย่างใด แต่ถ้า
(1) กรณีบริษัทฯ ได้รับชำระดอกเบี้ยเงินกู้เป็นเงินตราต่างประเทศในระหว่างรอบ
ระยะเวลาบัญชีบริษัทต้องคำนวณค่าหรือราคาเป็นเงินตราไทยตามราคาตลาด ในวันที่ได้รับชำระดอกเบี้ย
นั้น ตามมาตรา 65 ทวิ (5) วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร
(2) กรณีบริษัทฯ มีดอกเบี้ยค้างรับซึ่งมีค่าหรือราคาเป็นเงินตราต่างประเทศที่เหลืออยู่
ในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี บริษัทฯ ต้องคำนวณค่าหรือราคาเป็นเงินตราไทยตามอัตราถัวเฉลี่ย
ที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยคำนวณไว้ ตามมาตรา 65 ทวิ (5) วรรคหนึ่ง แห่ง
ประมวลรัษฎากร
เลขตู้: 61/27279

 


 

 

ปรับปรุงล่าสุด: 22-05-2020