เลขที่หนังสือ | : กค 0811/10032 |
วันที่ | : 23 กันยายน 2542 |
เรื่อง | : ภาษีเงินได้และภาษีการค้า กรณีการออกหมายเรียกและแจ้งการประเมินภาษีบุคคลภายหลังที่ศาลมี คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและมีคำสั่งเป็นบุคคลล้มละลายแล้ว |
ข้อกฎหมาย | : มาตรา 45 วรรค 2, มาตรา 77(1), มาตรา 8 |
ข้อหารือ | : สรรพากรภาค ได้ออกหมายเรียกไปยังนาย ก ทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ มีนาง ข เป็นผู้รับเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2539 สำหรับตรวจสอบภาษีในปี พ.ศ. 2534 เนื่องจากในปี พ.ศ.2533 นาย ก ได้ซื้อและแบ่งแยกโฉนดที่ดินรวมทั้งปลูกสร้างอาคาร ต่อมาในปี พ.ศ. 2534 ได้ขายที่ดินพร้อม อาคารดังกล่าว เข้าลักษณะเป็นการมุ่งค้าและหากำไร อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีการค้าตามประเภท การค้า 11 แต่นาย ก มิได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับปี พ.ศ. 2534 และ มิได้จดทะเบียนและเสียภาษีการค้าสรรพากรพื้นที่จึงได้ประเมินภาษีเงินได้ฯ และภาษีการค้า ตามหนังสือ แจ้งการประเมิน ลงวันที่ 30 พฤษภาคม 2540 และแจ้งการประเมินภาษีดังกล่าวทางไปรษณีย์ ลงทะเบียนตอบรับ แต่หนังสือแจ้งการประเมินถูกส่งคืนเนื่องจากไปรษณีย์แจ้งว่า "ย้ายไม่ทราบที่อยู่" ต่อมาได้ตรวจสอบพบว่านาย ก ถูกศาลแพ่งธนบุรีพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2534 และพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2536 และศาลมีคำสั่งปิดคดีแล้ว ตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม 2538 สรรพากรพื้นที่จึงขออนุมัติยกเลิกการประเมินภาษีดังกล่าว สรรพากรภาค มีความเห็นว่า การออกหมายเรียกนาย ก เพื่อไปให้ถ้อยคำต่อ เจ้าพนักงานประเมินในตรวจสอบการเสียภาษี ถือเป็นการจัดการทรัพย์สินอย่างหนึ่งตามคำพิพากษาฎีกาที่ 4955/2536 ดังนั้น เมื่อนาย ก เป็นบุคคลล้มละลายแล้วตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2536 เจ้าพนักงานประเมินจึงต้องจัดส่งหมายเรียกไปให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ (จพท.) ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจ จัดการทรัพย์สินตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ดังนั้น การส่งหมายเรียกจึง ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้การประเมินภาษีดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย |
แนววินิจฉัย | : 1. ความเห็นของสรรพากรภาค เกี่ยวกับคำพิพากษาฎีกาที่ 4955/2536 ยังไม่ถูกต้อง เนื่องจากในคดีดังกล่าวกรมสรรพากร (จำเลย) ได้แก้อุทธรณ์ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้ในระหว่างการ ประนอมหนี้ก่อนล้มละลายตามมาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายฯ หรือไม่ เพราะศาลได้มีคำสั่ง พิทักษ์เด็ดขาดโจทก์ไปแล้วอำนาจฟ้องร้องหรือต่อสู้คดีเกี่ยวกับทรัพย์สินจึงเป็นของ จพท. แม้ว่าที่ประชุม เจ้าหนี้ได้ยอมรับและศาลเห็นชอบด้วยแล้วก็ตาม ซึ่งศาลได้วินิจฉัยในประเด็นนี้ว่า การประนอมหนี้ก่อนล้มละลายตามมาตรา 45 ที่ศาล เห็นชอบด้วย เมื่อไม่ปรากฏว่าลูกหนี้ได้ตั้งบุคคลอื่นหรือ จพท.เป็นผู้จัดการทรัพย์สินหรือกิจการแทนลูกหนี้ ตามมาตรา 58 ต้องถือว่าคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์นั้นเป็นอันยกเลิกไปในตัว และลูกหนี้กลับเป็นผู้มีอำนาจจัดการ ทรัพย์สินหรือกิจการของตนขึ้นตามเดิม (ไม่ถูกจำกัดอำนาจตามมาตรา 58) จพท.ย่อมหมดอำนาจหน้าที่ ต่างๆ เพียงแต่มีอำนาจบางประการที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามเงื่อนไขการประนอมหนี้ตามมาตรา 57 หรือการขอให้ยกเลิกการประนอมหนี้ตามมาตรา 60 รวมทั้งการดำเนินคดีแพ่งแทนลูกหนี้ตามมาตรา 25 ที่ยังคั่งค้างอยู่ต่อไปเท่าที่จำเป็นเท่านั้นเมื่อการให้ถ้อยคำต่อเจ้าหนักงานประเมินตามที่ถูกเรียกตรวจสอบ ไต่สวนการเสียภาษี การอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และการฟ้องขอให้เพิกถอน การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ดังเช่นคดีนี้เป็นการจัดการทรัพย์สิน อย่างหนึ่ง จึงอยู่ในอำนาจของโจทก์ที่จะจัดการได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ ดังนั้น การวินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจจัดการทรัพย์สินดังกล่าว จึงเป็นกรณีตามมาตรา 45 วรรคสอง มิใช่ตามมาตรา 22(1) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายฯ ทั้งการออกหมายเรียกและการ ประเมินภาษีของเจ้าพนักงานประเมินไม่ใช่การจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้แต่อย่างใด 2. เนื่องจากการประเมินภาษีไม่ใช่การฟ้องร้องต่อศาลตามมาตรา 22(3) แห่ง พระราชบัญญัติล้มละลายฯแม้จะมีผลเป็นอย่างเดียวกับการฟ้องร้อง ซึ่งมีผลเพียงเพื่อการตั้งสิทธิเรียกร้อง เท่านั้น แต่ไม่ใช่การฟ้องคดี ทั้งนี้ ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4178/2532 ซึ่งได้วินิจฉัยในประเด็น ดังกล่าวว่า "การฟ้องคดีมรดกย่อมมีความหมายถึงการกล่าวหรือเสนอข้อหาต่อศาล เพื่อบังคับเอาแก่ กองมรดกเท่านั้น หาได้มีความหมายเลยไปถึงการประเมินหรือแจ้งจำนวนภาษีอากรให้โจทก์ชำระของ เจ้าพนักงานประเมินด้วยไม่... การประเมินภาษีไม่ใช่การฟ้องร้องต่อศาลแม้การที่เจ้าพนักงานประเมิน ได้แจ้งคำสั่งประเมินให้ผู้จัดการมรดกทราบ... อันถือได้ว่าทำการอื่นใดอันมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับ การฟ้องคดีเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องหรือเพื่อให้ใช้หนี้ตามที่เรียกร้องแล้ว อายุความย่อมสะดุดหยุดลง นับแต่วันที่ได้ประเมิน และแจ้งจำนวนภาษีอากรที่ประเมินไปยังผู้ต้องเสียภาษีดังศาลภาษีอากรกลาง วินิจฉัยก็ตาม แต่การมีผลเป็นอย่างเดียวกับการฟ้องร้อง มีความหมายเพียงเพื่อผลในการตั้ง สิทธิเรียกร้องเท่านั้น หาใช่การฟ้องคดีตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 วรรคสาม ไม่ เพราะถ้าการทำการอื่นใดอันนับว่ามีผลเป็นอย่างเดียวกับการฟ้องเป็นการฟ้องคดีแล้ว การทำการอื่นใดนั้นก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องมาทำการฟ้องคดีเมื่อมีข้อโต้แย้งต่อมาอีก..." ดังนั้น การส่งหมายเรียกไปยังนาย ก ภายหลังถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและเป็นบุคคล ล้มละลายแล้วของเจ้าพนักงานประเมินจึงชอบด้วยมาตรา 8 แห่งประมวลรัษฎากร ไม่จำต้องส่ง หมายเรียกไปยัง จพท. แต่อย่างใด 3. กรณีเจ้าพนักงานประเมินจะได้ออกหมายเรียกภายหลังวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ เด็ดขาดและศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายแล้ว และไม่ได้ขอรับชำระหนี้ภายในกำหนด 2 เดือน นับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามมาตรา 27 และมาตรา 91 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายฯ เจ้าพนักงานประเมินก็มีหน้าที่ต้องทำการประเมินภาษีอากรในนามของนาย ก และส่งหนังสือ แจ้งการประเมินไปยังนาย ก ตามมาตรา 8 แห่งประมวลรัษฎากร และแจ้งให้ จพท.ผู้มีอำนาจจัดการ ทรัพย์สินตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายฯ ทราบด้วย ทั้งนี้ ตามการประชุม กพอ. ครั้งที่ 4/2533 ลงวันที่ 11 พฤษภาคม 2533 (ระเบียบวาระที่ 1) ทั้งนี้ เนื่องจากแม้ในกรณีที่ลูกหนี้ ขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายตามมาตรา 56 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายฯ และที่ประชุมเจ้าหนี้ได้ยอมรับ และศาลเห็นชอบด้วยแล้ว ย่อมผูกมัดเจ้าหนี้ทั้งหมดที่ได้ขอรับชำระหนี้และไม่ได้ขอรับชำระหนี้ แต่ไม่ผูกมัด เจ้าหนี้ภาษีอากรตามมาตรา 77(1) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายฯ ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1001/2509 และในกรณีที่ศาลมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายตามมาตรา 135(1) หรือ (2) ไม่ทำให้ ลูกหนี้หลุดพ้นหนี้สินแต่อย่างใด เพราะคำว่า "หนี้สิน" ไม่ได้หมายความเฉพาะหนี้ที่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ ไว้ในคดีล้มละลายแล้วเท่านั้น ดังนั้น แม้เจ้าหนี้จะมิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้ตามมาตรา 27 และมาตรา 91 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายฯ เจ้าหนี้ก็ยังมีสิทธิที่จะฟ้องลูกหนี้เกี่ยวกับหนี้สินนั้นเป็นคดีล้มละลายคดี ใหม่ หรือคดีแพ่งธรรมดาอีกได้ ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1703 - 1704 - 2506 |
เลขตู้ | : 62/28353 |