เลขที่หนังสือ | : กค 0811(กม.02)/931 |
วันที่ | : 6 มิถุนายน 2543 |
เรื่อง | : ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราในการบันทึกต้นทุน และเจ้าหนี้ค่าสินค้า |
ข้อกฎหมาย | : มาตรา 9, มาตรา 27, มาตรา 65 ทวิ (5)(8)(9) |
ข้อหารือ | : เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2542 บริษัทฯ สั่งซื้อสินค้าจากประเทศญี่ปุ่น 1 ล้านเยน เพื่อ จำหน่ายภายในประเทศ เงื่อนไข CIF กำหนดชำระค่าสินค้าวันที่ 31 มีนาคม 2543 บริษัทฯ ปิดรอบปี บัญชีเดือนกุมภาพันธ์ สินค้าออกจากท่าเรือประเทศญี่ปุ่น (B/L DATE) วันที่ 29 ธันวาคม 2542 สินค้า ถึงท่าเรือกรุงเทพ (E/A DATE) วันที่ 9 มกราคม 2543 บริษัทฯ เป็นผู้ดำเนินการนำสินค้าผ่านพิธีการ ศุลกากร จ่ายค่าอากรขาเข้าพร้อมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2543 บริษัทฯ หารือว่า (1) บริษัทฯ จะบันทึกต้นทุนสินค้า และเจ้าหนี้ค่าสินค้า ด้วยอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันใด โดยอ้างมาตรา 465 ทวิ (5) วรรคสอง หรือมาตรา 65 ทวิ (8) หรือมาตรา 9 แห่ง ประมวลรัษฎากร (2) อัตราแลกเปลี่ยนทางราชการตามมาตรา 65 ทวิ (8) แห่งประมวลรัษฎากร หมายถึงอัตราแลกเปลี่ยนที่ประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทยใช่หรือไม่ (3) คำว่า ราคาตลาด ตามมาตรา 65 ทวิ วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร หมายถึง SPOT RATE ของธนาคารพาณิชย์ ณ วันนั้นในช่วงเวลาใดก็ได้ใช่หรือไม่ (4) คำว่า รับมาหรือจ่ายไป ตามมาตรา 65 ทวิ วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร ให้ใช้สำหรับการรับหรือจ่ายในขณะนั้นเวลานั้น ใช่หรือไม่ ไม่ได้หมายความรวมถึงการตั้งหนี้ไว้เพื่อรอ จ่าย (5) คำว่า วันที่รับมาหรือจ่ายไป ตามมาตรา 65 ทวิ วรรคสอง แห่ง ประมวลรัษฎากร ในกรณีซื้อสินค้าจากต่างประเทศให้ยึดวันใด E/A DATE, B/L DATE,วันจ่ายค่า ภาษีอากร (6) มาตรา 9 แห่งประมวลรัษฎากร ไม่ได้หมายความถึงการลงบัญชีต้นทุนค่าสินค้า หรือการตั้งบัญชีเจ้าหนี้การค้าเพื่อรอจ่าย ใช่หรือไม่ (7) การรับรู้สิทธิความเป็นเจ้าของสินค้า จะรับรู้เมื่อใด และจะต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไข การค้า FOB หรือ CIF ด้วยหรือไม่ (8) กรณีใช้อัตราแลกเปลี่ยนผิด แม้จะยืดหลักปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ก็จะต้องชำระค่า เบี้ยปรับและเงินเพิ่ม สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่ผ่านมาแล้ว ด้วยหรือไม่ |
แนววินิจฉัย | : (1) กรณีตาม 1.(1) และ (2) มาตรา 65 ทวิ (8) แห่งประมวลรัษฎากร บัญญัติ ว่า ถ้าราคาทุนของสินค้าเป็นเงินตราต่างประเทศ ให้คำนวณเป็นเงินตราไทยตามอัตราแลกเปลี่ยนใน ท้องตลาดของวันที่ได้สินค้านั้นมาเว้นแต่เงินตราต่างประเทศนั้นจะแลกได้ในอัตราทางราชการ ก็ให้ คำนวณเป็นเงินตราไทยตามอัตราทางราชการนั้น ดังนั้นบริษัทฯ ต้องบันทึกต้นทุนสินค้าและเจ้าหนี้ค่า สินค้าซึ่งเป็นเงินตราต่างประเทศ โดยคำนวณเป็นเงินตราไทยตามอัตราแลกเปลี่ยนในท้องตลาดของวันที่ ได้สินค้านั้นมา สำหรับอัตราแลกเปลี่ยนทางราชการได้เคยมีการกำหนดขึ้นมาในระยะหนึ่ง ปัจจุบันนี้ไม่มี แล้ว (2) กรณีตาม 1.(3) (4) และ (5) มาตรา 65 ทวิ (5) วรรคสอง แห่ง ประมวลรัษฎากร บัญญัติว่า เงินตรา ทรัพย์สิน หรือหนี้สินซึ่งมีค่าหรือราคาเป็นเงินตราต่างประเทศที่รับ มาหรือจ่ายไปในระหว่างรอบระยะเวลาบัญชี ให้คำนวณค่าหรือราคาเป็นเงินตราไทยตามราคาตลาดใน วันที่รับมาหรือจ่ายไปนั้น ราคาตลาด หมายถึง ราคาที่กำหนดร่วมกันระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทย โดยทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนและธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคาร รับมาหรือจ่ายไป หมายถึง เงินตรา ทรัพย์สินที่รับมาหรือหนี้สินที่จ่ายไป ในระหว่างรอบระยะเวลาบัญชี วันรับมาหรือจ่ายไป หมายถึง วันที่รับเงินตรา ทรัพย์สินมาหรือวันที่จ่ายหนี้สิน ไป โดยกรณีซื้อสินค้ามิได้บังคับตามบทบัญญัติมาตรานี้ (3) กรณีตาม 1.(6) มาตรา 9 แห่งประมวลรัษฎากร บัญญัติว่า เว้นแต่จะมี บทบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นถ้าจำเป็นต้องคำนวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยเพื่อปฏิบัติการตาม ลักษณะนี้ ให้คิดตามอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งกระทรวงการคลังประกาศเป็นคราว ๆ ดังนั้น กรณีที่มีบทบัญญัติ ไว้เป็นอย่างอื่น ดังกรณีราคาทุนของสินค้าและเจ้าหนี้ค่าสินค้า ต้องบังคับตามมาตรา 65 ทวิ (8) แห่ง ประมวลรัษฎากร (4) กรณีตาม 1.(7) การรับรู้สิทธิความเป็นเจ้าของสินค้าจะรับรู้เมื่อมีการซื้อ ขายสินค้านั้น ตามมาตรา 453 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (5) กรณีตาม 1.(8) หากมีการใช้อัตราแลกเปลี่ยนผิด ทำให้มีจำนวนเงินภาษีที่ต้อง ชำระเพิ่มเติมในรอบระยะเวลาบัญชีใด บริษัทฯ ต้องชำระภาษีส่วนที่ยังชำระไม่ครบถ้วน และต้องเสีย เงินเพิ่มตามมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร และหากบริษัทฯ ได้รับหมายเรียกตรวจสอบและถูก ประเมินภาษี บริษัทฯ ต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับตามมาตรา 22 หรือมาตรา 26 แห่งประมวลรัษฎากร ด้วย |
เลขตู้ | : 63/29425 |