เลขที่หนังสือ | : กค 0811/5184 |
วันที่ | : 23 มิถุนายน 2543 |
เรื่อง | : ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการขายสินค้าของคลังสินค้าทัณฑ์บนประเภทร้านค้าปลอดอากร |
ข้อกฎหมาย | : มาตรา 82, มาตรา 77/1(14)(ก)(ข) |
ข้อหารือ | : กรณีกรมศุลกากรจะอนุญาตให้คลังสินค้าทัณฑ์บนประเภทร้านค้าปลอดอากรในเมืองสามารถ ขายสินค้านำเข้าจากต่างประเทศที่ชำระภาษีอากรครบถ้วนแล้วให้แก่ผู้ซื้อทั่วไป โดยผู้ซื้อไม่จำเป็นต้องมี หนังสือเดินทาง และหลักฐานแสดงว่าจะเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักร ผู้ซื้อสามารถซื้อสินค้าปลอด อากรภายในร้านค้าของบริษัทฯและชำระภาษีอากรของสินค้าที่ซื้อ ณ จุดจำหน่ายสินค้า และสามารถนำ สินค้านั้นออกไปจากร้านค้าปลอดอากรได้ทันที โดยไม่ต้องไปรับของที่ซื้อ ณ จุดส่งมอบสินค้าที่กำหนดไว้ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติ กรณีดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ นั้น |
แนววินิจฉัย | : 1. กรณีผู้ประกอบการได้รับอนุมัติจากกรมศุลกากร ให้จัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บนประเภท ร้านค้าปลอดอากรในเมือง เมื่อผู้ประกอบการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเข้าไปในคลังสินค้าทัณฑ์บน เพื่อขายให้แก่นักท่องเที่ยวหรือผู้ที่เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักร ผู้ประกอบการร้านค้าปลอดอากรมี หน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในฐานะผู้นำเข้าตามมาตรา 82 แห่งประมวลรัษฎากร และเมื่อนำเข้ามา เพื่อขาย จึงเป็นภาษีซื้อที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประกอบกิจการ ผู้ประกอบการร้านค้าปลอดอากรมีสิทธิ นำไปถือเป็นภาษีซื้อในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 82/5(3) แห่ง ประมวลรัษฎากร อย่างไรก็ดี กรณีนำเข้าสินค้าเข้าไปในคลังสินค้าทัณฑ์บนดังกล่าว ผู้ประกอบการร้านค้า ปลอดอากรจะวางเงินประกัน หลักประกัน หรือจัดให้มีผู้ค้ำประกันเพื่อเป็นประกันภาษีมูลค่าเพิ่มแทนการ ชำระภาษีก็ได้ ตามมาตรา 83/8 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 1 ของ ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 20) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และ เงื่อนไขการวางประกันและการถอนประกันภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 83/8 แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ.2534 2. กรณีผู้ประกอบการร้านค้าปลอดอากรขายสินค้าให้แก่นักท่องเที่ยวหรือผู้ที่เดินทางออกไป นอกราชอาณาจักรเข้าลักษณะเป็นการส่งออก ตามมาตรา 77/1(14)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร หาก ผู้ประกอบการร้านค้าปลอดอากรได้ปฏิบัติตามแบบ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามกฎหมายว่าด้วย ศุลกากร ผู้ประกอบการร้านค้าปลอดอากรได้รับสิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 ตามมาตรา 80/1(1) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 2 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 30) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการนำสินค้าในราชอาณาจักร เข้าไปในเขตอุตสาหกรรมส่งออก และการขายสินค้าของคลังสินค้าทัณฑ์บนประเภทร้านค้าปลอดอากรตาม กฎหมายว่าด้วยศุลกากร ตามมาตรา 77/1(14)(ก) และ (ข) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ.2535 3. กรณีผู้ประกอบการร้านค้าปลอดอากรขายสินค้าให้แก่ผู้ซื้อทั่วไป โดยผู้ซื้อไม่จำเป็นต้องมี หนังสือเดินทางและหลักฐานแสดงว่าจะเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรถือว่าสินค้านั้นได้ถูกปล่อย ออกจากคลังสินค้าทัณฑ์บนโดยมิใช่เพื่อส่งออก ตามมาตรา 77/1(14)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ประกอบการร้านค้าปลอดอากรซึ่งเป็นผู้นำเข้ามีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มโดยจะต้องยื่นใบขนสินค้า ตามแบบที่อธิบดีกรมศุลกากรกำหนดต่อเจ้าพนักงานศุลกากร พร้อมกับการชำระอากรขาเข้าตามกฎหมาย ว่าด้วยศุลกากร ตามมาตรา 83/9 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น ตามมาตรา 78/2(1) แห่งประมวลรัษฎากร และเมื่อนำเข้ามาเพื่อขาย จึงเป็นภาษีซื้อที่เกี่ยวข้อง โดยตรงกับการประกอบกิจการ ผู้ประกอบการร้านค้าปลอดอากรมีสิทธินำไปถือเป็นภาษีซื้อในการคำนวณ ภาษีมูลค่าเพิ่มได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 82/5(3) แห่งประมวลรัษฎากร 4. กรณีผู้ประกอบการร้านค้าปลอดอากรได้ส่งมอบสินค้าตาม 3. ให้แก่ผู้ซื้อ ผู้ประกอบการ ร้านค้าปลอดอากรมีหน้าที่ต้องจัดทำใบกำกับภาษีเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อเมื่อความรับผิดในการ เสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น ตามมาตรา 78(1) และมาตรา 86 แห่งประมวลรัษฎากร โดยคำนวณ ภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 หรือร้อยละ 10.0 ตามมาตรา 80 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบ กับมาตรา 4 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 353) พ.ศ.2542 5. ผู้ประกอบการร้านค้าปลอดอากรเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จึงมีหน้าที่ ต้องจัดทำรายงานภาษีขายตามมาตรา 87(1) รายงานภาษีซื้อตามมาตรา 87(2) และ รายงานสินค้าและวัตถุดิบตามมาตรา 87(3) แห่งประมวลรัษฎากร อย่างไรก็ดี กรณีผู้ประกอบการ ร้านค้าปลอดอากรมีหน้าที่จัดทำบัญชีแยกประเภทสินค้าซึ่งแสดงรายละเอียดของสินค้าทั้งที่นำเข้าจาก ต่างประเทศและหรือของที่ผลิตภายในประเทศ ที่นำเข้าเก็บในคลังสินค้าทัณฑ์บนประเภทร้านค้าปลอด อากร ของที่ขายไป ของที่คงเหลืออยู่ โดยแยกประเภท ชนิด ปริมาณของของไว้อย่างชัดแจ้ง ซึ่งต้อง จัดทำตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ถือว่าบัญชีแยกประเภทดังกล่าวเป็นรายงานสินค้าและวัตถุดิบ ตาม มาตรา 87(3) แห่งประมวลรัษฎากร แล้ว ทั้งนี้ ตามข้อ 3(3) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 89) เรื่อง กำหนดแบบ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เกี่ยวกับการ จัดทำรายงาน การลงรายการในรายงาน การเก็บใบกำกับภาษีและเอกสารหลักฐานอื่นที่ใช้ประกอบการ ลงรายงานภาษีซื้อตามมาตรา 87 และมาตรา 87/3 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 29 เมษายน พ.ศ.2542 |
เลขตู้ | : 63/29498 |