เลขที่หนังสือ | : กค 0811/5185 |
วันที่ | : 23 มิถุนายน 2543 |
เรื่อง | : ภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีภาระภาษีของ กองทุนพิเศษเกี่ยวกับการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา |
ข้อกฎหมาย | : มาตรา 40(8), มาตรา 56, มาตรา 81/1 |
ข้อหารือ | : ภาคเอกชนซึ่งเป็นเจ้าของสิทธิและตัวแทนของสิทธิในธุรกิจเกี่ยวกับสิ่งบันทึกเสียง สิ่งบันทึก ภาพ เครื่องหมายการค้า และซอฟแวร์ได้รวมตัวกันจัดตั้ง กองทุนพิเศษเกี่ยวกับการป้องปรามการ ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งมีคณะกรรมการกองทุนพิเศษเกี่ยวกับการป้องปรามการละเมิด ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนภาครัฐในการ ปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา พัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญา เช่น ตำรวจ อัยการ ศาลและส่งเสริมความรู้ด้านทรัพย์สินทางปัญญาให้แก่ประชาชนทั่วไป ได้ร่วมกันบริจาคเงินเข้า กองทุนฯ ในเบื้องต้นรวม 13 ราย เป็นจำนวนเงิน 2,095,000 บาท ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวมีแหล่ง ที่มาจากบริษัทภายในประเทศ และบริษัทในต่างประเทศโดยบริจาคผ่านสำนักงานตัวแทนที่อยู่ใน ประเทศไทย เพื่อให้สำนักงานตัวแทนนำเงินส่งมอบเข้ากองทุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ของ กองทุนฯ กองทุนฯ จึงหารือเกี่ยวกับภาระภาษีของกองทุนฯ และของผู้บริจาค ดังนี้ 1. กองทุนฯ ซึ่งดำเนินงานโดยคณะกรรมการกองทุนฯ เมื่อได้รับเงินบริจาคเข้ากองทุนฯ มีภาระภาษีอย่างไร และคณะกรรมการกองทุนฯ จะต้องดำเนินการอย่างไรบ้างในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ กรมสรรพากร 2. บริษัทที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลในประเทศไทยที่ได้บริจาคเงินเข้ากองทุนฯ สามารถนำ หลักฐานการบริจาคเงินจากกองทุนฯ ไปหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลได้หรือไม่ อย่างใด 3. กรณีบริษัทจดทะเบียนในต่างประเทศได้โอนเงินมาเพื่อบริจาคให้แก่กองทุนฯ โดยโอน ผ่านสำนักงานตัวแทนของบริษัทต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นบริษัทไทยที่เป็นสำนักงานทนายความหรือสำนักงาน กฎหมายที่ดูแลเรื่องสิทธิประโยชน์เกี่ยวกับลิขสิทธิ์หรือเครื่องหมายการค้าของบริษัทต่างประเทศ และให้ สำนักงานตัวแทนส่งมอบให้กองทุนฯ โดยไม่หักค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด สำนักงานตัวแทนเมื่อได้รับเงินโอน จากบริษัทต่างประเทศจะมีภาระภาษีหรือไม่อย่างใด 4. กรณีกองทุนฯ จะได้จัดงานหารายได้เข้ากองทุนฯ เพิ่มเติมในอนาคตเช่น การจัดฉาย ภาพยนตร์ การจัดแสดงคอนเสิร์ตโดยการสนับสนุนของภาคเอกชน รายได้จากการจัดงานดังกล่าว จะ ต้องเสียภาษีอย่างใดหรือไม่ |
แนววินิจฉัย | : 1. กรณีตาม 1. กองทุนฯ โดยคณะกรรมการกองทุนฯ ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ในนามคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ซึ่งผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้แก่คณะกรรมการกองทุนฯ ดังนั้นกรณีที่กองทุนฯ ได้รับเงินบริจาคซึ่งถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่ง ประมวลรัษฎากร จึงมีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแต่ละปี ดังนี้ (1) ครั้งที่ 1 จะต้องนำเงินได้ดังกล่าวที่ได้รับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน ไปยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (แบบ ภ.ง.ด.94) ภายในเดือนกันยายนของ ทุกปี ทั้งนี้ตามมาตรา 56 ทวิแห่งประมวลรัษฎากร (2) ครั้งที่ 2 จะต้องนำเงินได้ดังกล่าวที่ได้รับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนธันวาคม ของทุกปี ไปยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.90) ภายในเดือนมีนาคม ของปีถัดไป ทั้งนี้ตามมาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากร โดยให้นำภาษีที่ชำระไว้แล้วในครั้งที่ 1 มาถือ เป็นเครดิตหักออกจากภาษีที่จะต้องชำระในครั้งที่ 2 อนึ่ง คณะกรรมการกองทุนฯ จะต้องยื่นคำร้องขอมีและใช้เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร ภายใน 60 วันนับแต่วันที่มีเงินได้พึงประเมิน โดยให้ยื่นต่อสรรพากรพื้นที่ ณ สำนักงานภาษีสรรพากรพื้นที่ ที่ผู้ยื่นคำร้องมีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ ทั้งนี้ ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กำหนดให้ผู้มีหน้าที่เสีย ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีและใช้เลขประจำตัวในการปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 5) ลงวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2539 2. กรณีตาม 2. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่บริจาคเงินเข้ากองทุนฯ ไม่มีสิทธินำเงิน บริจาคดังกล่าวมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 65 ตรี (3) แห่งประมวลรัษฎากร 3. กรณีตาม 3. เงินบริจาคที่บริษัทสำนักงานตัวแทนของบริษัทต่างประเทศได้รับโอนจาก บริษัทต่างประเทศเพื่อบริจาคให้แก่กองทุนฯ และสำนักงานตัวแทนได้นำเงินดังกล่าวไปส่งมอบให้แก่ กองทุนฯ โดยไม่มีการหักค่าใช้จ่าย และมีหลักฐานพิสูจน์การรับเงินและการส่งมอบเงินแก่กองทุนฯ ได้ว่า เป็นจำนวนเงินเดียวกัน ย่อมไม่ถือเป็นรายได้ของบริษัทสำนักงานตัวแทนที่จะต้องนำมาเพื่อรวมคำนวณ เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล 4. กรณีตาม 4. กรณีกองทุนฯ จะจัดงานหารายได้เข้ากองทุนฯ มีภาระภาษีดังนี้ (1) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รายได้จากการจัดงานเข้าลักษณะเป็น เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร จะต้องนำมารวมคำนวณเพื่อยื่น แบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามมาตรา 56 และมาตรา 56 ทวิ แห่ง ประมวลรัษฎากร (2) ภาษีมูลค่าเพิ่ม การจัดงานหารายได้ดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นการให้บริการอยู่ใน บังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร โดยหากกองทุนฯ มีรายรับจาก การขายสินค้าและการให้บริการไม่เกิน 1,200,000 บาทต่อปี จะได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ตาม มาตรา 81/1 แห่งประมวลรัษฎากร และพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 354) พ.ศ. 2542 แต่หากมี รายรับจากการขายสินค้าและให้บริการเกิน 1,200,000 บาทต่อปี จะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยจะ ต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 วันนับแต่วันที่เริ่มประกอบกิจการ |
เลขตู้ | : 63/29499 |