เลขที่หนังสือ | : กค 0811/5934 |
วันที่ | : 20 กรกฎาคม 2543 |
เรื่อง | : ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีดอกเบี้ยที่ได้รับจากการฝากสินทรัพย์สำรองของกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ |
ข้อกฎหมาย | : พระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 260) พ.ศ. 2535 |
ข้อหารือ | : กิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ได้นำเงินทุนส่วนหนึ่งที่สำรองไว้เพื่อใช้ในการดำเนิน กิจการวิเทศธนกิจตามเงื่อนไขของธนาคารแห่งประเทศไทย ไปฝากไว้กับสถาบันการเงินในรูปของ บัญชีเงินฝากประจำเป็นเงินบาทและได้รับดอกเบี้ยเงินฝากเป็นเงินบาทจากสถาบันการเงินเป็นผล ตอบแทนกิจการ เข้าใจว่า รายได้ที่จะนำไปคำนวณกำไรสุทธิจากการประกอบกิจการวิเทศธนกิจนั้น หมายถึง รายได้จากกิจการวิเทศธนกิจและรวมถึงรายได้เนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชี ด้วย ดอกเบี้ยเงินฝากที่ได้รับ ถือเป็นรายรับเนื่องจากการประกอบกิจการวิเทศธนกิจ จึงมีสิทธินำ ดอกเบี้ยเงินฝากไปรวมคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้ในอัตราร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิได้ตาม มาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 260) พ.ศ. 2535 |
แนววินิจฉัย | : กรณีการฝากเงินทุนส่วนหนึ่งที่สำรองไว้เพื่อใช้ในการดำเนินกิจการวิเทศธนกิจไปฝากไว้กับ สถาบันการเงินในรูปบัญชีเงินฝากประจำที่เป็นเงินบาท และได้รับดอกเบี้ยเงินฝากเป็นเงินบาทเป็นผล ตอบแทนนั้น มิใช่การประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ตามความหมายในข้อ 1 ของ ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2535 ดอกเบี้ยเงินฝากที่ได้รับจึงมิใช่รายรับเพื่อการคำนวณกำไรที่พึงถือว่าเป็นกิจการ วิเทศธนกิจ ตามความหมายในข้อ 1(1) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 47)ฯ ลงวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2536 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับ ภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 50)ฯ ลงวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2536 ดังนั้น กิจการวิเทศธนกิจของ ธนาคารพาณิชย์จึงไม่มีสิทธินำดอกเบี้ยเงินฝากดังกล่าวมารวมคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้ใน อัตราร้อยละ 10 ได้ตามมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 260) พ.ศ. 2535 |
เลขตู้ | : 63/29585 |