เลขที่หนังสือ | : กค 0706/7715 |
วันที่ | : 17 สิงหาคม 2547 |
เรื่อง | : ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีการออกใบแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นสามัญของบริษัทให้แก่กรรมการและพนักงานของบริษัท |
ข้อกฎหมาย | : มาตรา 40(4)(ช), มาตรา 42(17) |
ข้อหารือ | : 1. บริษัท ก. จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจการจัดสร้างโรงงานมาตรฐานเพื่อ วัตถุประสงค์ในการให้เช่าหรือเพื่อการขาย โดยบริษัทฯ ได้เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 15,000,000 หุ้น ให้แก่ประชาชนทั่วไป ในราคาเสนอขายหุ้นละ 21 บาท และได้ออกใบสำคัญแสดง สิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ จำนวน 22,500,000 ให้กับผู้ถือหุ้นเดิม ประชาชนทั่วไปที่ซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน กรรมการและพนักงานของบริษัทฯ ที่ได้รับการคัดเลือก ในราคาหุ้นละ 5 บาท 2. บริษัทฯ ได้มีหนังสือที่ หารือกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีใบสำคัญ แสดงสิทธิที่ออกให้แก่กรรมการและพนักงานของบริษัทฯ และสำนักงานสรรพากรภาค ได้มีหนังสือที่ แจ้ง บริษัทฯ เกี่ยวกับภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีบริษัทฯ ออกใบสำคัญแสดง สิทธิให้แก่กรรมการและพนักงาน 3. ต่อมาบริษัทฯ ได้มีหนังสือที่ หารือกรมสรรพากรเพื่อยืนยันผลการพิจารณาของสำนักงาน สรรพากรภาค และหารือเพิ่มเติมดังนี้ 3.1 กรณีกรรมการและพนักงานของบริษัทฯ นำใบสำคัญแสดงสิทธิมาซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ ถือว่ากรรมการและพนักงานได้รับเงินได้จากบริษัทฯ ในวันที่มีการใช้สิทธิดังกล่าว โดยคำนวณเงินได้จาก ราคาหุ้นสามัญของบริษัทฯ ที่มีการขายให้แก่ประชาชนทั่วไป (Public Offering) ราคา 21 บาทต่อ หุ้น หักด้วยต้นทุนการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญ ราคา 5 บาทต่อหุ้น บริษัทฯ มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และนำส่งภายใน 7 วัน นับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินได้พึงประเมินหรือไม่ อย่างไร 3.2 เนื่องจากบริษัทฯ มิได้มีข้อห้ามกรรมการและพนักงานโอนเปลี่ยนมือใบสำคัญแสดง สิทธิ กรรมการและพนักงานจึงสามารถขายใบสำคัญแสดงสิทธิในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือนอก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งกรรมการและพนักงานจะได้รับจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิจากบริษัทฯ ในราคาเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไปในราคา 0 บาท ซึ่งเป็นราคาเดียวและมีเงื่อนไขเดียวกันกับผู้ จองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนซึ่งเป็นประชาชนทั่วไปและผู้ถือหุ้นเดิม โดยวันที่มีการจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิให้ แก่กรรมการและพนักงาน คือ วันที่ 4 มิถุนายน 2545 และใบสำคัญแสดงสิทธิดังกล่าวยังไม่มีการซื้อขาย ในตลาดหลักทรัพย์ แต่ได้เริ่มมีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2545 บริษัทฯ หารือว่า หากกรรมการและพนักงานของบริษัทฯ ขายใบสำคัญแสดงสิทธิในตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย และนอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กรรมการและพนักงานดังกล่าวมีหน้าที่ต้อง เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือไม่ และบริษัทฯ มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายจากการขายหุ้น ดังกล่าวหรือไม่ อย่างไร 3.3 กรณีกรรมการหรือพนักงานที่ได้รับจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิลาออกจากบริษัทฯ ภายหลังจากได้รับใบสำคัญแสดงสิทธิ โดยกรรมการและพนักงานดังกล่าวได้นำใบสำคัญแสดงสิทธิมาซื้อหุ้น ของบริษัทฯ หรือขายใบสำคัญแสดงสิทธิในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือนอกตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย กรรมการและพนักงานมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตาม 3.1 และ 3.2 หรือไม่ และบริษัทฯ มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายหรือไม่ อย่างไร |
แนววินิจฉัย | : 1. กรณีบริษัทฯ ได้จัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญให้แก่กรรมการและพนักงาน ต่อมา บุคคลดังกล่าวนำใบสำคัญแสดงสิทธิมาซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ กรรมการและพนักงานมีหน้าที่เสีย ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และบริษัทฯ มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ดังนี้ 1.1 กรณีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เนื่องจากกรรมการและพนักงานนำใบสำคัญแสดงสิทธิ มาซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ ในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดตามข้อตกลงพิเศษ กรรมการและพนักงานจึงได้รับ เงินได้พึงประเมินในวันที่มีการใช้สิทธิดังกล่าวดังนี้ (1) หากกรรมการ พนักงานได้รับเงินได้จากบริษัทฯ เนื่องจากหน้าที่งานหรือ ตำแหน่งที่ทำหรือจากการรับทำงานให้ กรณีถือเป็นประโยชน์ใด ๆ ที่ได้เนื่องจากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ ทำหรือจากการรับทำงานให้ อันเข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(2) แห่ง ประมวลรัษฎากร (2) หากกรรมการ พนักงานของบริษัทฯ ได้รับเงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน กรณีถือเป็นประโยชน์ใด ๆ ที่ได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน อันเข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตาม มาตรา 40(1) แห่งประมวลรัษฎากร ในการคำนวณเงินได้ดังกล่าวให้คำนวณจากราคาหุ้นสามัญของบริษัทฯ ตามหลักเกณฑ์ ต่อไปนี้ หักด้วยราคาการใช้สิทธิ (Exercise Price) ในวันที่ได้รับกรรมสิทธิ์ในหุ้นดังกล่าว (ก) หากหุ้นดังกล่าวมีราคาขายให้กับประชาชนทั่วไป (Public Offering) ให้ ถือมูลค่าหุ้นเท่ากับราคาขายให้กับประชาชนทั่วไป (ข) หากหุ้นดังกล่าวไม่มีราคาขายให้กับประชาชน (Public Offering) ให้ถือ มูลค่าหุ้นเท่ากับราคาเฉลี่ยในตลาดหลักทรัพย์ในเดือนที่ได้รับกรรมสิทธิ์ในหุ้น 1.2 กรณีภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย เนื่องจากบริษัทฯ เป็นผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตาม มาตรา 40(1) หรือ (2) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ จึงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และ นำส่งกรมสรรพากรตามมาตรา 50(1) และมาตรา 52 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 2 ของ ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการนำส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย การนำส่ง ภาษีเงินได้ การนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม และการยื่นรายการ ลงวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 2. กรณีกรรมการและพนักงานมิได้ใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่ได้รับแต่นำ ใบสำคัญแสดง สิทธิไปขาย เนื่องจากใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นเป็นหลักทรัพย์ประเภทหนึ่งที่สามารถนำมา จดทะเบียนเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนหรือหลักทรัพย์รับอนุญาตได้ เมื่อกรรมการและพนักงานขายใบสำคัญ แสดงสิทธิในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและนอกตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย ภาระภาษีของ กรรมการและพนักงานที่ได้ขายใบสำคัญแสดงสิทธิ แยกพิจารณาได้ดังนี้ (1) กรณีการขายใบสำคัญแสดงสิทธินอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หากการขาย ใบสำคัญแสดงสิทธิดังกล่าวมีส่วนต่างซึ่งถือเป็นผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนใบสำคัญแสดงสิทธิ เฉพาะ ส่วนที่ตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน เข้าลักษณะเป็นผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนใบสำคัญแสดงสิทธิ ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4)(ช) แห่งประมวลรัษฎากร กรรมการและพนักงาน ผู้มีเงินได้ มีหน้าที่นำเงินได้ดังกล่าวมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดา โดยยื่น แบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเมื่อสิ้นปี ตามมาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากร และกรณีบริษัทฯ ซึ่งเป็น ผู้จ่ายเงินได้ดังกล่าว มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย โดยคำนวณ หักตามอัตราภาษีเงินได้ตาม มาตรา 50(2) วรรคแรก แห่งประมวลรัษฎากร (2) กรณีการขายใบสำคัญแสดงสิทธิในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หากการขาย ใบสำคัญแสดงสิทธิดังกล่าวมีส่วนต่างซึ่งถือเป็นผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนใบสำคัญแสดงสิทธิ เฉพาะ ส่วนที่ตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน เข้าลักษณะเป็นผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนใบสำคัญแสดงสิทธิ และถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4)(ช) แห่งประมวลรัษฎากร แต่อย่างไรก็ดี เนื่องจาก การขายใบสำคัญแสดงสิทธิดังกล่าวเป็นการขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กรรมการและ พนักงานจึงไม่ต้องนำเงินได้จากการขายใบสำคัญแสดงสิทธิมารวมคำนวณเพื่อเสีย ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามมาตรา 42(17) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับ ข้อ 2(23) แห่ง กฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร 3. กรณีกรรมการหรือพนักงานลาออกจากบริษัทฯ ภายหลังจากได้รับใบสำคัญแสดงสิทธิ และ ต่อมาบุคคลดังกล่าวได้นำใบสำคัญสิทธิมาซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ เนื่องจากกรรมการหรือพนักงานได้รับ ประโยชน์ตามใบสำคัญแสดงสิทธิจากการจ้างแรงงานหรือการ รับทำงานให้ และใบสำคัญแสดงสิทธิ ดังกล่าวได้ระบุชื่อกรรมการหรือพนักงานในการซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ แม้ว่ากรรมการหรือพนักงานจะนำ ใบสำคัญแสดงสิทธิมาซื้อหุ้นสามัญภายหลังจากที่ได้ลาออกจากบริษัทฯ หรือขายใบสำคัญแสดงสิทธิใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือนอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายหลังจากที่ได้ลาออกจาก บริษัทฯ กรรมการหรือพนักงานมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และบริษัทฯ มีหน้าที่ต้องหัก ภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตาม 1. และ 2. |
เลขตู้ | : 67/33096 |