เลขที่หนังสือ | : กค 0706/พ./7328 |
วันที่ | : 30 กรกฎาคม 2546 |
เรื่อง | : ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการเฉลี่ยภาษีซื้อ |
ข้อกฎหมาย | : ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 29)ฯ |
ข้อหารือ | : กรณีมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเทพและมีสำนักงานสาขาอยู่ที่แหลมฉบัง โดยประกอบกิจการทั้ง ประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มคิดเป็นสัดส่วน 86.43:13.57 ของรายได้ทั้งหมด (รายได้รวมของสำนักงานใหญ่กรุงเทพและที่แหลมฉบัง)แต่เฉพาะรายได้ของ สำนักงานใหญ่ มีรายได้จากกิจการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มคิดเป็นอัตราร้อยละ 97.77 ของรายได้ ทั้งหมด สำหรับที่แหลมฉบังมีรายได้จากกิจการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มคิดเป็นอัตราร้อยละ 52.20 ของ รายได้ทั้งหมด จึงมีความประสงค์ขอเปลี่ยนแปลงการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มของสำนักงานใหญ่ โดยนำ ภาษีซื้อทั้งจำนวนไปหักออกจากภาษีขาย ตามข้อ 3(1) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 29)ฯ ลงวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2535 สำหรับที่แหลมฉบังยังคงคำนวณ ภาษีมูลค่าเพิ่มโดยการเฉลี่ยภาษีซื้อเช่นเดิม |
แนววินิจฉัย | : กรณีประกอบกิจการทั้งประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้นำสินค้าหรือบริการที่ได้มาหรือได้รับมาในการประกอบกิจการของตนไปใช้หรือจะใช้ในกิจการทั้งสอง ประเภท ถ้าไม่สามารถแยกได้อย่างชัดแจ้งว่าภาษีซื้อที่เกิดจากสินค้าหรือบริการดังกล่าวเป็นภาษีซื้อของ กิจการประเภทใด ก็ให้เฉลี่ยภาษีซื้อตามส่วนของรายได้ของแต่ละกิจการ ทั้งนี้ ตามข้อ 2 ของ ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 29)ฯ ลงวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2535 โดยการคำนวณเฉลี่ยภาษีซื้อตามส่วนของรายได้ของแต่ละกิจการดังกล่าว ผู้ประกอบการจะต้องใช้ฐาน รายได้ของทุกสถานประกอบการรวมกัน ดังนั้น เมื่อประกอบกิจการทั้งประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มคิดเป็นสัดส่วน 86.43:13.57 ของรายได้ทั้งหมด (รายได้รวม ของสำนักงานใหญ่ที่กรุงเทพและที่แหลมฉบัง) จึงต้องคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มโดยการเฉลี่ยภาษีซื้อตามส่วน ของรายได้ของแต่ละกิจการตามข้อ 2 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 29)ฯ ลงวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2535 สำนักงานใหญ่จะนำภาษีซื้อทั้งจำนวนไปหักออกจากภาษีขายไม่ได้ |
เลขตู้ | : 66/32583 |