เมนูปิด

เลขที่หนังสือ: กค 0706/พ./3966
วันที่: 28 เมษายน 2546
เรื่อง: ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการเฉลี่ยภาษีซื้อ
ข้อกฎหมาย: ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 29)ฯ
ข้อหารือ: บริษัทฯ เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2543
ประกอบกิจการส่งออกยางพาราแท่ง ในช่วงเริ่มต้นของการประกอบกิจการบริษัทฯ ได้ดำเนินการ
ก่อสร้างอาคารโรงงานเพื่อใช้เป็นโรงงานผลิตยางแท่งเพื่อส่งออกและมีการซื้อเครื่องจักร เครื่องมือ
อุปกรณ์เพื่อติดตั้งในโรงงาน บริษัทฯ ได้ขอคืนภาษีซื้อทั้งหมดเนื่องจากในช่วงแรกบริษัทฯ มีนโยบายที่จะ
ผลิตยางแท่งเพื่อส่งออกเพียงอย่างเดียว ต่อมาเมื่อเริ่มผลิตยางแท่งบริษัทฯ มีความจำเป็นทางด้าน
การค้าที่จะต้องขายยางแท่งในประเทศให้บริษัท ท. ซึ่งเป็นบริษัทในเครือด้วยเนื่องจาก บริษัท ท. ไม่
สามารถผลิตยางแท่งส่งให้ลูกค้าในต่างประเทศได้ทันตามสัญญา บริษัทฯ มีรายได้จากการขายยางแท่งใน
ประเทศและส่งออกดังนี้
เดือนภาษี ขายในประเทศ อัตราส่วน ส่งออก อัตราส่วน
ส.ค.-ธ.ค. 2544 64,730,842.07 49.99 56,934,463.19 50.01
ม.ค.-ส.ค. 2545 79,107,390.59 25.15 235,451,892.34 74.85
เนื่องจากบริษัทฯ ไม่สามารถประมาณการการใช้พื้นที่อาคารที่จะใช้ในการประกอบกิจการ
ประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อนำมาหักออกจากภาษีขายได้ เพราะการผลิตยางแท่งเพื่อส่งออกและ
เพื่อขายในประเทศจะต้องใช้พื้นที่เดียวกัน ใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์ต่าง ๆ ร่วมกัน ไม่สามารถแยกกัน
ได้อย่างชัดเจน ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในข้อ 5 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับ
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 29) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเฉลี่ยภาษีซื้อ ตามมาตรา
82/6 แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2535 บริษัทฯ จึงขออนุมัติเฉลี่ยภาษีซื้อสำหรับ
วัสดุและการก่อสร้างอาคารโรงงานตามสัดส่วนรายได้ย้อนหลังไปถึงวันจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดย
บริษัทฯ ยินดีที่จะคืนภาษีมูลค่าเพิ่มส่วนที่เกินตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 29)ฯ ลงวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2535
แนววินิจฉัย: ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างอาคารโรงงานและค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องจักรพร้อมทั้งอุปกรณ์
เครื่องมือต่าง ๆ ของบริษัทฯ เป็นค่าใช้จ่ายเพื่อใช้ร่วมกันในกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
และประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยไม่สามารถแยกได้อย่างชัดแจ้งว่าภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อ
เครื่องจักรและอุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ เป็นภาษีซื้อของกิจการประเภทใด และในส่วนภาษีซื้อที่เกิดจาก
การก่อสร้างอาคารโรงงานนั้น ก็ไม่สามารถประมาณการการใช้พื้นที่อาคารเพื่อใช้ในการประกอบกิจการ
ของตนเองซึ่งเป็นกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มได้ จึงให้บริษัทฯ เฉลี่ยภาษีซื้อตามส่วนของ
รายได้ของแต่ละกิจการ ดังนี้
1. ในปีที่บริษัทฯ เริ่มประกอบกิจการหรือได้ประกอบกิจการมาแล้ว แต่ยังไม่มีรายได้ ให้
ประมาณการรายได้ของกิจการทั้งสองประเภทของปีที่เริ่มมีรายได้ แล้วเฉลี่ยภาษีซื้อตามส่วนของ
ประมาณการรายได้ดังกล่าว และให้นำภาษีซื้อที่เฉลี่ยได้ตามส่วนของประมาณการรายได้ของกิจการ
ประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มมาหักออกจากภาษีขาย แต่ภาษีซื้อดังกล่าวจะต้องมีจำนวนไม่เกินกึ่งหนึ่ง
ของภาษีซื้อที่นำมาเฉลี่ย
2. สำหรับในปีถัดจากปีที่เริ่มประกอบกิจการและยังไม่มีรายได้ถึงสิ้นปีของปีที่เริ่มมีรายได้ ให้
เฉลี่ยภาษีซื้อตามส่วนของประมาณการรายได้เช่นเดียวกับปีที่บริษัทฯ เริ่มประกอบกิจการหรือได้
ประกอบกิจการมาแล้ว แต่ยังไม่มีรายได้
เมื่อสิ้นปีที่เริ่มมีรายได้ ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนคำนวณภาษีซื้อที่หักได้จริงตามส่วนของ
รายได้ที่เกิดขึ้นจริงของกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และให้ปรับปรุงภาษีซื้อที่ได้นำมาหัก
ออกจากภาษีขายแล้ว
ปีที่เริ่มมีรายได้ให้หมายถึง ปีแรกที่มีรายได้เกิดขึ้นจริงไม่น้อยกว่า 6 เดือนภาษี
3. สำหรับปีถัดจากปีที่เริ่มมีรายได้เป็นต้นไป ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนเฉลี่ยภาษีซื้อ
ตามส่วนของรายได้ของปีที่ผ่านมาโดยไม่ต้องปรับปรุงภาษีซื้ออีก
ทั้งนี้ตามข้อ 2 และข้อ 7 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่
29)ฯ ลงวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2535 โดยบริษัทฯ ต้องยื่นแบบ ภ.พ.30 เพิ่มเติม สำหรับภาษีซื้อส่วนที่
เฉลี่ยได้ตามส่วนของรายได้ของกิจการที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งบริษัทฯ ไม่มีสิทธินำไปหักออกจาก
ภาษีขาย แต่บริษัทฯ ได้นำไปหักออกจากภาษีขาย (ภาษีซื้อที่บริษัทฯ ยื่นไว้เกิน) ตามมาตรา 83/4 แห่ง
ประมวลรัษฎากร และบริษัทฯ ยังคงต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มตามมาตรา 89/1 แห่งประมวลรัษฎากร
เลขตู้: 66/32378

 

 

ปรับปรุงล่าสุด: 22-05-2020