เลขที่หนังสือ | : กค 0706/2791 |
วันที่ | : 20 มีนาคม 2546 |
เรื่อง | : ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการคำนวณกำไรสุทธิและการยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้สำหรับธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการวิเทศธนกิจ |
ข้อกฎหมาย | : มาตรา 65, มาตรา 66, มาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 260) พ.ศ. 2535, ประกาศกระทรวงการคลังฯ ลงวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2535, ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย |
ข้อหารือ | : สมาคมธนาคารต่างชาติแจ้งว่า สำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ได้มีหนังสือซ้อมความเข้าใจ กรณีการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับ อนุญาตให้ประกอบกิจการวิเทศธนกิจ โดยหนังสือฉบับดังกล่าวได้กล่าวถึงกรณีกิจการวิเทศธนกิจมีการโอน ลูกหนี้ด้อยคุณภาพไปยังธนาคารพาณิชย์ที่เป็นเจ้าของกิจการวิเทศธนกิจนั้นในประเทศไทย ให้กิจการ วิเทศธนกิจรับรู้ส่วนสูญเสียในบัญชีของกิจการวิเทศธนกิจ และห้ามนำผลขาดทุนจากการโอนลูกหนี้ดังกล่าว ไปรวมคำนวณกับกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิจากการประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์อื่นโดยถือเสมือนหนึ่ง เป็นคนละนิติบุคคล และให้ธนาคารพาณิชย์แยกการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกิจการ ธนาคารพาณิชย์กับกิจการวิเทศธนกิจออกจากกัน โดยกำไรหรือขาดทุนจากธุรกรรมที่เกิดขึ้นจากกิจการ วิเทศธนกิจต้องถือเป็นกำไรหรือขาดทุนของกิจการวิเทศธนกิจเท่านั้น ซึ่งสมาคมฯ มีความเห็นว่า แนวทางปฏิบัติตามที่สำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่แจ้งให้ทราบดังกล่าว ยังไม่มีกฎหมายฉบับใดรองรับ จึงหารือเพื่อเป็นแนวทางให้สมาชิกของสมาคมฯ ถือปฏิบัติให้ถูกต้องต่อไป ดังนี้ 1. การยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลของธนาคารพาณิชย์ที่ประกอบกิจการ วิเทศธนกิจ จะต้องยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล 2 ฉบับ คือฉบับที่เสีย ภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 10 สำหรับกิจการวิเทศธนกิจ และฉบับที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลใน อัตราร้อยละ 30 สำหรับกิจการธนาคารพาณิชย์ หรือ 2. การยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลของธนาคารพาณิชย์ที่ประกอบกิจการ วิเทศธนกิจจะต้องยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ฉบับ คือ ฉบับที่เสีย ภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 10 สำหรับกิจการวิเทศธนกิจ ฉบับที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตรา ร้อยละ 30 สำหรับกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการวิเทศธนกิจซึ่งไม่ได้รับการลดอัตราภาษีเหลือร้อยละ 10 และฉบับที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 30 สำหรับกิจการธนาคารพาณิชย์ |
แนววินิจฉัย | : 1. ธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการวิเทศธนกิจจากธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องแยกการคำนวณกำไรสุทธิระหว่างกิจการธนาคารปกติกับกิจการธนาคารที่เป็นวิเทศธนกิจ ตามข้อ 2 ของประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการ วิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2543 ประกอบกับข้อ 2 ของ ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2535 2. ธนาคารพาณิชย์มีหน้าที่ต้องคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกิจการ ธนาคารพาณิชย์ ตามมาตรา 65 และมาตรา 66 แห่งประมวลรัษฎากร และต้องเสียภาษีในอัตราที่ระบุ ไว้ในบัญชีอัตราภาษีเงินได้ 3. กรณีธนาคารพาณิชย์ที่ประกอบกิจการวิเทศธนกิจ ประกอบกิจการวิเทศธนกิจทั้งที่ได้รับการ ลดอัตราภาษีเงินได้จากกำไรสุทธิเหลือร้อยละ 10 และกิจการวิเทศธนกิจที่ต้องเสียภาษีจากกำไรสุทธิใน อัตราปกติ ธนาคารพาณิชย์ต้องคำนวณกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิของกิจการวิเทศธนกิจแต่ละกิจการแยก ต่างหากจากกัน และห้ามมิให้นำผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีของกิจการหนึ่งไปหักออกจาก กำไรสุทธิของอีกกิจการหนึ่ง ตามมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 260) พ.ศ. 2535 ประกอบกับข้อ 1(3) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 47)ฯ ลงวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2536 4. กรณีการยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ธนาคารพาณิชย์ที่ ประกอบกิจการวิเทศธนกิจต้องยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.50) ดังนี้ (1) ยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 สำหรับกิจการธนาคารพาณิชย์ จำนวน 1 ฉบับ (2) ยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 สำหรับกิจการวิเทศธนกิจที่ได้รับการลดอัตราภาษีเงินได้เหลือ ร้อยละ 10 จำนวน 1 ฉบับ (3) ยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 สำหรับกิจการวิเทศธนกิจที่ต้องเสียภาษีในอัตราปกติ จำนวน 1 ฉบับ |
เลขตู้ | : 66/32324 |