เลขที่หนังสือ | : กค 0811/พ./2977 |
วันที่ | : 4 เมษายน 2545 |
เรื่อง | : ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการแจ้งเลิกและโอนกิจการ |
ข้อกฎหมาย | : มาตรา 77/1(8), มาตรา 77/1(8)(ฉ), มาตรา 77/2(1), มาตรา 78/1, มาตรา 82/4 |
ข้อหารือ | : กรณีนาง พ. ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มประกอบกิจการขายเครื่องอุปโภคบริโภค และสินค้าเบ็ดเตล็ดได้แจ้งเลิกกิจการเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2543 โดยระบุว่าเลิกกิจการตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2543 และโอนขายสินค้าและทรัพย์สินในร้านทั้งหมดในวันเดียวกันให้แก่บุคคลอื่น 3 รายซึ่งได้ แบ่งแยกส่วนแต่ละประเภทกิจการอย่างชัดเจนให้แก่ผู้รับโอนแต่ละราย โดยนาง พ. ได้นำมูลค่าสินค้า คงเหลือและทรัพย์สินในร้าน ณ วันเลิกประกอบกิจการไปชำระภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว สำนักงาน สรรพากรภาค 11 หารือว่าการโอนสินค้าและทรัพย์สินกรณีดังกล่าวจะถือว่าเป็นการ "ขาย" ซึ่งอยู่ใน บังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/1(8)(ฉ) แห่งประมวลรัษฎากร หรือไม่ |
แนววินิจฉัย | : กรณีการโอนกิจการที่ต้องมีการโอนทรัพย์สินที่ใช้ในการประกอบกิจการหรือโอนสินค้าซึ่งจะเข้า ลักษณะเป็นการ "ขาย" ตามมาตรา 77/1(8) แห่งประมวลรัษฎากร หรือไม่นั้นแยกพิจารณาดังนี้ 1. กรณีผู้ประกอบการโอนกิจการไปแล้วและผู้ประกอบการยังคงตั้งอยู่เพื่อดำเนิน กิจการอื่น ต่อไปหรือมีรายได้จากการประกอบกิจการอื่นซึ่งอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม การโอนกิจการ ดังกล่าวถือว่าเป็นการโอนกิจการบางส่วน เข้าลักษณะเป็นการ "ขาย" ตามมาตรา 77/1(8)แห่ง ประมวลรัษฎากร ผู้โอนกิจการมีหน้าที่ต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้รับโอนกิจการ ตามมาตรา 82/4 แห่งประมวลรัษฎากร 2. กรณีผู้ประกอบการโอนกิจการไปแล้วและได้แจ้งเลิกกิจการหรือยังคงอยู่ต่อไปแต่ มิได้ ประกอบการอื่นอันอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่มีรายได้อื่นอันอยู่ในบังคับต้องเสีย ภาษีมูลค่าเพิ่ม การโอนกิจการดังกล่าวถือเป็นการโอนกิจการทั้งหมดไม่เข้าลักษณะเป็นการ "ขาย"ตาม มาตรา 77/1(8) แห่งประมวลรัษฎากร ผู้โอนกิจการไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 77/2(1) แห่งประมวลรัษฎากร เนื่องจากข้อเท็จจริงปรากฏว่านาง พ. ได้ออกใบเสร็จรับเงินสำหรับการขายสินค้าและ ทรัพย์สินที่ใช้ในการประกอบกิจการเดิมของตนให้แก่ผู้รับโอนทั้ง 3 ราย เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2543 และผู้รับโอนทั้ง 3 รายได้จดทะเบียนพาณิชย์แล้วเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2543 ทั้งนาง พ. ได้ยื่นแบบ แจ้งการเปลี่ยนแปลงทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.09) เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2543 โดยระบุว่าเลิก ประกอบกิจการเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2543 กรณีดังกล่าวนาง พ. ได้ขายสินค้าและทรัพย์สินที่ใช้ในการ ประกอบกิจการก่อนการแจ้งเลิกประกอบกิจการต่อกรมสรรพากร ดังนั้น นาง พ. จึงมีหน้าที่ต้องเสีย ภาษีมูลค่าเพิ่มและออกใบกำกับภาษีทันทีเมื่อความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น ตามมาตรา 78(1) และมาตรา 86 แห่งประมวลรัษฎากร หากนาง พ. มิได้ออกใบกำกับภาษีเมื่อความรับผิดในการ เสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น นาง พ. มีความผิดต้องระวางโทษตามมาตรา 90/2(3) แห่ง ประมวลรัษฎากร ต่อมาเมื่อ นาง พ. ยื่นแบบ ภ.พ.09 แจ้งเลิกประกอบกิจการในวันที่ 17 สิงหาคม 2543 และมิได้ประกอบกิจการอื่นที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม หากปรากฏว่านาง พ. ขายสินค้า คงเหลือและหรือทรัพย์สินที่ใช้ในการประกอบกิจการไปหมดแล้ว นาง พ. จึงไม่มีสินค้าคงเหลือและหรือ ทรัพย์สินที่ใช้ในการประกอบกิจการ ณ วันเลิกประกอบกิจการ นาง พ. มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) ของเดือนภาษีสิงหาคม 2543 สำหรับยอดขายสินค้าคงเหลือและหรือทรัพย์สิน ที่ได้ขายไปทั้งหมดในวันที่ 4 สิงหาคม 2543 ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏว่านาง พ. ได้นำมูลค่าของสินค้า คงเหลือและทรัพย์สินที่ใช้ในการประกอบกิจการทั้งหมดไปยื่นแบบภ.พ.30 แล้ว นาง พ. จึงไม่ต้องรับผิด เสียเบี้ยปรับตามมาตรา 89(3) มาตรา 89(4) และมาตรา 89(5)แห่งประมวลรัษฎากร |
เลขตู้ | : 65/31354 |