เลขที่หนังสือ | : กค 0811/1433 |
วันที่ | : 18 กุมภาพันธ์ 2545 |
เรื่อง | : ขอพระราชทานพระมหากรุณา |
ข้อกฎหมาย | : มาตรา 12, มาตรา 30 |
ข้อหารือ | : นาง ส. ได้นำที่ดินอยู่อาศัยและทำกิน น.ส.3 ก. เนื้อที่ 43-0-63 ไร่ ซึ่งติดจำนอง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พร้อมที่ดินที่ครอบครองทำประโยชน์เกิน น.ส.3 ก. อีก 9-1-37 ไร่ ไปทำสัญญาจะซื้อขายกับนาย จ. ราคาไร่ละ 25,000 บาท จากนั้น นาย จ. ได้ให้เงิน จำนวนหนึ่งเพื่อนำไปไถ่ถอนจำนองที่ดิน เงินส่วนที่ค้างจะจ่ายให้ในวันโอนที่ดิน ต่อมาเมื่อ จดทะเบียน โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเรียบร้อยแล้ว นาย จ. กลับผิดนัดการชำระเงินส่วนที่เหลือโดยอ้างเหตุต่าง ๆ ปัจจุบันครอบครัวได้รับความเดือดร้อนมาก เนื่องจากสำนักงานสรรพากรจังหวัดได้ดำเนินการยึดทรัพย์ โดยอ้างเหตุค้างชำระค่าอากรและค่าเพิ่มอากรจากการทำนิติกรรมขายที่ดินแปลงพิพาท ด้วยเหตุดังกล่าว จึงประสงค์ที่จะขอพระราชทานพระมหากรุณาเพื่อให้ได้รับเงินจำนวนที่ค้างชำระจากผู้ซื้อที่ดิน จึงขอให้มี การถอนคำสั่งยึดทรัพย์ พร้อมทั้งให้ทางราชการจัดสรรที่ดินสำหรับประกอบอาชีพตามนโยบายแก้ไขปัญหา ความยากจนด้วย |
แนววินิจฉัย | : ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีอากร ราย นาง ส. มีดังนี้ 1. นาง ส. ได้ถูกตรวจพบว่าทำการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมประเภทขายที่ดินตาม น.ส.3 ก. เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2538 โดยขายให้กับนาย อ. แสดงราคาทุนทรัพย์ที่ขอทำ นิติกรรม เป็นจำนวนเงิน 430,000 บาท กรมที่ดินจึงประเมินราคาทุนทรัพย์เรียกเก็บค่าธรรมเนียมเป็น จำนวนเงิน 431,575 บาท และเรียกเก็บอากรแสตมป์เป็นจำนวนเงิน 2,158 บาท ต่อมาปรากฏว่า นาง ส. ได้ยอมรับข้อเท็จจริงว่าได้รับเงินค่าขายที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นจำนวนเงิน 1,075,000 บาท และนาย อ. ยอมรับข้อเท็จจริงว่าได้ชำระเงินค่าซื้อขายที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นจำนวนเงิน 1,078,937.50 บาท สำนักงานที่ดินจังหวัดชัยนาทจึงส่งข้อมูลให้สำนักงานสรรพากรจังหวัดชัยนาททำ การตรวจสอบเมื่อปี 2542 2. สำนักงานสรรพากรจังหวัดได้ทำการตรวจสอบภาษีอากรรายนี้ และเห็นว่า นาง ส. ได้ ชำระค่าอากรไว้ขาดไป จึงได้มีหนังสือแจ้งให้เสียค่าอากรและค่าเพิ่มอากรลงวันที่ 28 มิถุนายน 2542 โดยแจ้งให้นาง ส. ชำระค่าอากรเพิ่มเติมจำนวน 3,237 บาท และค่าเพิ่มอากรตามมาตรา 114(2) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร อีกเป็นจำนวน 6 เท่า เป็นเงิน 19,422 บาท รวมเป็นเงิน ทั้งสิ้น 22,659 บาท 3. เมื่อนาง ส. ได้รับหนังสือแจ้งดังกล่าวแล้วมิได้นำเงินมาชำระแต่อย่างใด และจากการ สอบสวนทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากรพบว่ามีบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จึงใช้อำนาจ ตามมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากร ทำการอายัดบัญชีเงินฝากธนาคาร ดังกล่าว แต่ปรากฏว่าไม่มีเงิน ในบัญชีและภายหลังจากที่ได้รับคำสั่ง ก็มิได้นำส่งเงินเพื่อชำระหนี้ภาษีอากรค้างแต่อย่างใด ดังนั้น กรณีตามข้อเท็จจริงเมื่อนาง ส. ได้ถูกสำนักงานสรรพากรจังหวัดชัยนาทแจ้งให้เสียค่า อากรและค่าเพิ่มอากรเพิ่มเติม และนาง ส. มิได้นำเงินมาชำระภาษีตามการประเมินเรียกเก็บเมื่อถึง กำหนดชำระแล้ว จึงถือเป็นหนี้ภาษีอากรค้างซึ่งในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานคร ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจเช่นเดียวกับอธิบดีกรมสรรพากรในเขตท้องที่จังหวัดสั่งยึดหรืออายัดและ ขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรโดยมิต้องขอให้ศาลออกหมายยึดหรือสั่ง ตามมาตรา 12 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร การที่ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาทได้มี คำสั่งอายัดบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ของนาง ส. จึงเป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย ดังกล่าวแล้ว อย่างไรก็ดี เนื่องจากนาง ส. ได้รับหนังสือแจ้งการประเมินจากเจ้าพนักงานประเมินแล้ว ดังนั้น หากนาง ส. ไม่เห็นด้วยกับการประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน ก็มีสิทธิคัดค้านการประเมินได้ โดยต้องอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายใน 30 วันนับแต่วันได้รับหนังสือแจ้งการประเมินภาษี ตามมาตรา 30 แห่งประมวลรัษฎากร และหากผู้เสียภาษีอากรมิได้อยู่ในประเทศไทย หรือมีเหตุจำเป็น จนไม่สามารถจะปฏิบัติตามกำหนดเวลาอุทธรณ์ได้ ก็สามารถยื่นคำร้องเป็นหนังสือต่ออธิบดีกรมสรรพากร ณ สำนักงานสรรพากรภาค 4 เพื่อขอขยายกำหนดเวลาการยื่นคำอุทธรณ์ ตามมาตรา 3 อัฏฐ แห่ง ประมวลรัษฎากร |
เลขตู้ | : 65/31266 |