เมนูปิด

เลขที่หนังสือ: กค 0811/พ./853
วันที่: 30 มกราคม 2545
เรื่อง: ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีขอเปลี่ยนแปลงวิธีการเฉลี่ยภาษีซื้อและขอขยายเวลาขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม
ข้อกฎหมาย: มาตรา 81(1)(น), มาตรา 81/3(1), มาตรา 82/5(6)
ข้อหารือ: บริษัท จ. จำกัด ขอเปลี่ยนแปลงวิธีการเฉลี่ยภาษีซื้อ และขอขยายระยะเวลาการขอคืน
ภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยมีข้อเท็จจริงดังนี้
1. บริษัทฯ ประกอบกิจการขายส่ง ขายปลีก ให้บริการระบบจำหน่ายสลากอัตโนมัติ และวัสดุ
อุปกรณ์เกี่ยวกับงานดังกล่าว
2. บริษัทฯ ได้ทำสัญญากับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2539 เป็น
ผู้แทนจำหน่ายสลากบำรุงการกุศลแบบอัตโนมัติ (ระบบ ON LINE) โดยบริษัทฯ จะต้องจัดหาและติดตั้ง
เครื่องจำหน่ายสลากอัตโนมัติจำนวน 5,000 เครื่อง ตามระยะเวลาที่กำหนด บริษัทฯ ต้องประกัน
การจำหน่ายสลากแต่ละงวดให้ได้ไม่น้อยกว่า 14 ล้านฉบับ และเป็นเงินไม่น้อยกว่า 560 ล้านบาท และ
ต้องจำหน่ายไม่เกินกว่าปริมาณสูงที่สำนักงานฯ จะกำหนดให้ ซึ่งบริษัทฯ จะได้รับ ผลตอบแทนในอัตรา
ร้อยละ 9 ของยอดจำหน่ายสลากที่บริษัทฯ จำหน่ายได้ทั้งหมด หากไม่หมดบริษัทฯ จะต้องชำระเงินค่า
สลากส่วนที่ขาดหลังจากหักส่วนลดร้อยละ 9 แล้ว นอกจากนี้บริษัทฯ มีสิทธิแต่งตั้งหรือมอบหมายให้
บุคคลอื่นเป็นผู้แทนจำหน่ายย่อย ซึ่งจะต้องมีคุณสมบัติเบื้องต้นและลักษณะตามที่กำหนดไว้ในข้อเสนอที่ต้อง
แจ้งให้สำนักงานฯ ทราบ
3. บริษัทฯ ได้ประมาณการรายได้ที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และไม่ต้องเสียภาษี มูลค่าเพิ่มใน
อัตราส่วน 20:80 และได้ยื่นแบบ ภ.พ.30 ตั้งแต่เดือนภาษีมีนาคม 2540 - พฤศจิกายน 2542 และ
บริษัทฯ ขอคืนภาษีซื้อทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2542 เป็นต้นมา ต่อมา สำนักงานฯ ไม่สามารถ
จัดให้บริษัทฯ เข้าดำเนินการตามสัญญาได้และบอกเลิกสัญญากับบริษัทฯ เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2542
บริษัทฯ จึงขอยกเลิกสัญญาดังกล่าว เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2542 ทำให้บริษัทฯ ไม่มีรายได้ที่ไม่ต้อง
เสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากการประกอบกิจการดังกล่าวอีกต่อไป จึงได้ยื่นขอเปลี่ยนแปลงการเฉลี่ยภาษีซื้อใหม่
ตามที่เคยยื่นไว้ในอัตรา 20:80 มาเป็นการยื่นภาษีซื้อ 100% ดังนี้
3.1 ภาษีซื้อในส่วนที่ได้จ่ายไปแล้ว 80% แต่ไม่ได้ขอคืนภาษีซื้อไว้ ตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม
2540 - 10 พฤศจิกายน 2542 บริษัทฯ จะขอยื่นแบบ ค.10 ย้อนหลังในส่วนที่ไม่เกิน 3 ปี
3.2 ภาษีซื้อในส่วนที่จ่ายไปแล้ว 80% แต่ไม่ได้ขอคืนภาษีซื้อไว้ ตั้งแต่วันที่ 11
พฤศจิกายน 2542 เป็นต้นไป บริษัทฯ จะขอยื่นภาษีซื้อ 100%
4. ต่อมาบริษัทฯ ได้มีหนังสือ ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2544 ขอขยายเวลาการ ขอคืน
ภาษีมูลค่าเพิ่มในส่วนที่จ่ายไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม 2540 ถึงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2542 ทั้งหมด
รวมส่วนที่เกิน 3 ปี เนื่องจากบริษัทฯ เข้าใจข้อกฎหมายคลาดเคลื่อนทำให้บริษัทฯ ไม่ได้ขอขยาย
ระยะเวลาในการขอคืนตั้งแต่แรก
5. สำนักงานภาษีสรรพากรพื้นที่ได้ตรวจสอบรายงานภาษีซื้อและใบกำกับภาษี ตั้งแต่เดือนภาษี
มีนาคม 2540 - พฤศจิกายน 2542 ไม่พบภาษีซื้อต้องห้าม ภาษีซื้อที่ขอคืนมีเพียงร้อยละ 20 จริงและ
ส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสำนักงาน ค่าโทรศัพท์ และค่ารักษาความสะอาด เป็นต้น และสำนักงาน
ภาษีสรรพากรพื้นที่ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การประกอบกิจการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลด้วยเครื่อง
จำหน่ายสลากอัตโนมัติ เป็นการประกอบกิจการขายสินค้าที่ได้รับ ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 3(2)
แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 239) พ.ศ. 2534 ดังนั้น ภาษีซื้อจากการประกอบกิจการดังกล่าว จึง
ไม่สามารถนำมาขอคืนได้สำนักงานสรรพากรภาคได้พิจารณาแล้วเห็นว่า บริษัทฯ จะขอเปลี่ยนแปลงการ
เฉลี่ยภาษีซื้อจากเดิม 20:80 เป็น 100% ก็ต่อเมื่อบริษัทฯ ได้แจ้งการเปลี่ยนแปลงทะเบียนภาษี มูลค่า
เพิ่มเกี่ยวกับประเภทกิจการที่จะประกอบการซึ่งต้องเป็นกิจการที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มชัดเจน เนื่องจากเดิม
บริษัทฯ ได้จดทะเบียนแจ้งการขายส่ง ขายปลีก ให้บริการระบบจำหน่ายสลากอัตโนมัติ และวัสดุอุปกรณ์
เกี่ยวกับงานดังกล่าว ซึ่งการจำหน่ายสลากได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81(1)(น) แห่ง
ประมวลรัษฎากร และตามมาตรา 3(2) แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 239) พ.ศ.2534 บริษัทฯ จึง
ไม่มีสิทธิขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและเสียภาษีมูลค่าเพิ่มได้ตามมาตรา 81/3 แห่งประมวลรัษฎากร
ส่วนวัสดุอุปกรณ์อยู่ในข่ายที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม จึงเป็น กิจการเดียวที่บริษัทฯ ได้จดแจ้งไว้และเมื่อ
บริษัทฯ ยกเลิกสัญญา ไม่มีการจำหน่ายสลากก็ย่อมไม่มีวัสดุอุปกรณ์เกี่ยวกับงานดังกล่าวเช่นเดียวกัน
ดังนั้น บริษัทฯ จะเปลี่ยนแปลงการเฉลี่ยภาษีซื้อเป็น 100% ไม่ได้จนกว่าบริษัทฯ ได้จดทะเบียนระบุ
กิจการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มชัดเจนก่อนส่วนกรณีการขอขยายระยะเวลาการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น ไม่
สามารถขยายได้ เนื่องจากไม่มีกฎหมายในประมวลรัษฎากร ระบุให้อำนาจอธิบดีกรมสรรพากรกระทำได้
แนววินิจฉัย: กรณีบริษัทฯ ประกอบกิจการขายส่ง ขายปลีก ให้บริการระบบจำหน่ายสลากอัตโนมัติและวัสดุ
อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับงานดังกล่าว และบริษัทฯ ได้ทำสัญญากับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็น
ผู้แทนจำหน่ายสลากบำรุงการกุศลแบบอัตโนมัติ (ระบบ ON LINE) ซึ่งการประกอบกิจการจำหน่าย
สลากกินแบ่งรัฐบาลได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81(1)(น) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับ
มาตรา 3(2) แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 239) พ.ศ. 2534 และการจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์เป็น
กิจการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร จึงเป็นการ
ประกอบกิจการทั้งประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม บริษัทฯ จึง
ไม่มีสิทธิขอคืนภาษีซื้อที่เกิดจากการประกอบกิจการทั้งจำนวน แต่ต้องเฉลี่ยภาษีซื้อที่จะนำไปหักออกจาก
ภาษีขายตามมาตรา 82/6 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งตามข้อเท็จจริงบริษัทฯ ได้ยื่นแบบ ภ.พ.30 ตั้งแต่
เดือนภาษีมีนาคม 2540 - เดือนภาษีพฤศจิกายน 2542 โดยแสดงยอดซื้อที่มีสิทธินำภาษีซื้อมาหักใน
การคำนวณภาษีในเดือนภาษีเพียงร้อยละ 20 เนื่องจากบริษัทฯ ประมาณการรายได้ที่ต้องเสีย
ภาษีมูลค่าเพิ่มและไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราส่วน 20:80 ตามข้อ 2 ของ
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 29)ฯ ลงวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2535
ต่อมาสำนักงานฯ ไม่สามารถจัดให้บริษัทฯ เข้าดำเนินการตามสัญญาได้ จึงเลิกสัญญาเมื่อวันที่ 11
พฤศจิกายน 2542 ทำให้บริษัทฯ ไม่มีรายได้ที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากการประกอบกิจการดังกล่าว
อีกต่อไป ดังนั้น ในการยื่นแบบ ภ.พ.30 เดือนภาษีพฤศจิกายน 2542 บริษัทฯ จึงแสดงยอดซื้อที่มีสิทธินำ
ภาษีซื้อมาหักในการคำนวณภาษีสำหรับก่อนวันที่ 11 พฤศจิกายน 2542 โดยการเฉลี่ยภาษีซื้อในอัตราส่วน
20:80 และยอดซื้อที่มีสิทธินำภาษีซื้อมาหักในการคำนวณภาษีตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2542 ทั้งจำนวน
สำหรับการยื่นแบบ ภ.พ.30 เดือนภาษีธันวาคม 2542 เป็นต้นไป บริษัทฯ แสดงยอดซื้อที่มีสิทธินำภาษีซื้อ
มาหักในการคำนวณภาษีทั้งจำนวน 100% กรณีดังกล่าว
1. การจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 8 1(1)(น) แห่ง
ประมวลรัษฎากร ประกอบกับมาตรา 3(2) แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 239) พ.ศ. 2534 และ
เป็นกิจการที่ไม่มีสิทธิแจ้งต่ออธิบดีกรมสรรพากรเพื่อขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
ตามมาตรา 81/3(1) แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น ภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อ ทรัพย์สินเพื่อใช้หรือจะใช้
ในกิจการประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือภาษีซื้อที่เกิดจาก รายจ่ายของกิจการประเภทที่ไม่ต้อง
เสียภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าว จึงเป็นภาษีซื้อที่ไม่ให้นำไปหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา
82/5(6) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 2(3) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับ
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42)ฯ ลงวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2535 บริษัทฯ จึงไม่มีสิทธิขอคืนภาษีซื้อใน
ส่วนที่ได้จ่ายไปแล้ว 80% สำหรับกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษี มูลค่าเพิ่มตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม 2540 -
10 พฤศจิกายน 2542 ได้
2. กรณีบริษัทฯ ขอเปลี่ยนแปลงวิธีการเฉลี่ยภาษีซื้อจากเดิม 20:80 เป็น 100% นั้น เมื่อ
บริษัทฯ มิได้ประกอบกิจการประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอีกต่อไป แต่ได้ประกอบ กิจการประเภทที่
ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยแจ้งเปลี่ยนแปลงประเภทของการประกอบการเป็น ขายส่ง ขายปลีก
เครื่องมือสื่อสาร เครื่องโทรคมนาคม เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์ แบบพิมพ์ ตลอดจนอุปกรณ์และ
อะไหล่ของสินค้าดังกล่าวทุกชนิดทุกประเภท ให้บริการให้คำปรึกษา แนะนำรับบริหารงานโครงการต่าง ๆ
ตลอดจนเป็นนายหน้า ตัวแทนในกิจการอื่น ๆ ทุกประเภท บริษัทฯ จึงมีสิทธิขอคืนภาษีซื้อที่เกิดจาก
กิจการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มได้ทั้งจำนวน โดยไม่ต้องได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรให้
เปลี่ยนแปลงวิธีการเฉลี่ยภาษีซื้อแต่อย่างใด
เลขตู้: 65/31241

 

 

ปรับปรุงล่าสุด: 22-05-2020