เลขที่หนังสือ | : กค 0811/7405 |
วันที่ | : 26 กรกฎาคม 2544 |
เรื่อง | : ภาษีอากรค้าง กรณีการอายัดเงินค่าจ้าง |
ข้อกฎหมาย | : มาตรา 12 |
ข้อหารือ | : บริษัท ธ. จำกัดถูกสำนักงานสรรพากรจังหวัดแพร่ประเมินภาษีอากร จำนวน 3,044,585 บาท บริษัทฯ ได้มารับจ้างงานกับสำนักงานที่ดินจังหวัดนครศรีธรรมราชและถูก สรรพากรจังหวัดนครศรีธรรมราชอายัดเงินค่าจ้างดังกล่าว จึงได้ร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการ การปกครอง สภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอความเป็นธรรมอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบของ เจ้าหน้าที่ทางราชการ สำนักงานสรรพากรจังหวัดนครศรีธรรมราชจึงขอให้กรมสรรพากรพิจารณาว่า การดำเนินการอายัดเงินค่าจ้างของเจ้าหน้าที่ฝ่ายสรรพากร เป็นการปฏิบัติโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ |
แนววินิจฉัย | : 1 พิจารณาตามประมวลรัษฎากร กรณีตามข้อเท็จจริง บริษัทฯ ได้ถูกจังหวัดแพร่ประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลและ ภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,044,585 บาท (ยังไม่รวมเงินเพิ่ม) เมื่อบริษัทฯ มิได้นำเงินมา ชำระภาษีตามการประเมินเรียกเก็บเมื่อถึงกำหนดชำระแล้ว ให้ถือเป็นหนี้ภาษีอากรค้างในจังหวัดอื่น นอกจากกรุงเทพมหานคร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชมีอำนาจเช่นเดียวกับอธิบดีกรมสรรพากร ในเขตท้องที่จังหวัดสั่งยึดหรืออายัดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรโดยมิต้องขอ ให้ศาลออกหมายยึดหรือสั่ง ตามมาตรา 12 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร การที่ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชได้มีคำสั่งอายัดเงินค่าจ้างค้างชำระหรือยังไม่ครบกำหนดชำระ ที่บุคคลภายนอกจะต้องชำระให้แก่บริษัทฯ จำนวนเงิน 2,065,392 บาท ถือว่าเป็นการปฏิบัติตาม กฎหมายดังกล่าวแล้ว กรณีเงินประกันสัญญาจ้างซึ่งบริษัทฯ เป็นเจ้าของเงินที่นำมาวางไว้เป็นหลักประกันและเงิน อื่นใดที่จะได้รับตามสัญญาจ้างอันเป็นเงินที่บริษัทฯ เป็นผู้ได้รับเมื่อสิ้นสุดแห่งสัญญา ดังกล่าว เมื่อ กรรมสิทธิ์ในเงินจำนวนดังกล่าวยังคงเป็นของบริษัทฯ กรมสรรพากรในฐานะเจ้าหนี้ภาษีอากร จึงชอบที่ จะใช้อำนาจตามมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น การอายัดเงินค่าจ้างของบริษัทฯ ดังกล่าว จึงเป็นการปฏิบัติโดยชอบด้วยกฎหมายตาม มาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบด้วยระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการอายัดทรัพย์สินตามความ ในมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2539 2. พิจารณาตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 กรณีนี้ใบแจ้งการประเมิน ถือเป็นคำสั่งทางปกครองที่ทำเป็นหนังสือที่อาจอุทธรณ์หรือโต้แย้งได้ และเป็นคำสั่งทางปกครองที่กำหนดให้ชำระเงิน ถ้าถึงกำหนดแล้วไม่มีการชำระโดยถูกต้องครบถ้วน เจ้าหน้าที่อาจใช้มาตรการบังคับทางปกครองโดยยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้นั้นและขายทอดตลาดเพื่อ ชำระเงินให้ครบถ้วน การอุทธรณ์ไม่เป็นเหตุให้ทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองตามมาตรา 5(1), มาตรา, 34 มาตรา 40, มาตรา 44 และมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 โดยผู้มีอำนาจทำคำสั่งทางปกครองจะเป็นผู้มีอำนาจยึดหรืออายัดและขายทอดตลาดทรัพย์สิน ของผู้อยู่ในบังคับของคำสั่งทางปกครอง แต่มิให้ใช้บังคับในกรณีที่กฎหมายใดกำหนดเรื่องผู้มีอำนาจสั่งยึด หรืออายัดหรือขายทอดตลาดไว้โดยเฉพาะ ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2542) ออกตามความใน พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 เนื่องจากใบแจ้งการประเมินตามประมวลรัษฎากร ได้กำหนดให้อุทธรณ์ภายในกำหนดเวลา 30 วันนับแต่วันได้รับแจ้งการประเมินโดยการอุทธรณ์ไม่เป็นการทุเลาการเสียภาษีอากร ถ้าไม่เสีย ภาษีอากรภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ถือเป็นหนี้ภาษีอากรค้างซึ่งในจังหวัดอื่นนอกจาก กรุงเทพมหานคร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชในเขตท้องที่จังหวัดมีอำนาจยึดหรืออายัดและ ขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรได้โดยมิต้องให้ศาลออกหมายยึด หรือสั่ง กรณีการอายัดให้ปฏิบัติตามระเบียบกรมสรรพากร ว่าด้วยการอายัดทรัพย์สินตามความในมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ.2539 การแจ้งการประเมินตามใบแจ้งการประเมิน การอุทธรณ์ การอายัดทรัพย์สินตาม ประมวลรัษฎากรและระเบียบกรมสรรพากร ว่าด้วยการอายัดทรัพย์สินฯ กรณีดังกล่าวถือว่ามีหลักเกณฑ์ที่ ประกันความเป็นธรรมหรือมีมาตรฐานในการปฏิบัติราชการไม่ต่ำกว่าหลักเกณฑ์ที่กำหนดในพระราชบัญญัติ วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 กรณีนี้จึงถือว่าการดำเนินการอายัดเงินค่าจ้างดังกล่าวเป็น การปฏิบัติโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 และข้อ 3 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2542) ออกตามความในพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติ ราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 ดังนั้น คำสั่งการอายัดเงินค่าจ้างดังกล่าว จึงชอบด้วยกฎหมายตามประมวลรัษฎากร และตาม พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 |
เลขตู้ | : 64/30706 |