เมนูปิด

เลขที่หนังสือ: กค 0811/4277
วันที่: 4 พฤษภาคม 2544
เรื่อง: ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการจ่ายค่าที่ปรึกษาทางการเงินให้กับธนาคารในต่างประเทศ
ข้อกฎหมาย: มาตรา 77/2, มาตรา 83/6
ข้อหารือ: บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายให้กับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
บริษัทฯ กู้เงินจากแหล่งเงินกู้จากต่างประเทศ หนึ่งในเงื่อนไขของทางผู้ให้กู้เงินจากต่างประเทศนั้น
ต้องการให้ทางบริษัทฯ มีประกันภัยความเสี่ยงทางด้านการเมือง (Political Risk
Insurance-PRI) ดังนั้น ทางบริษัทฯ จึงได้ลงนามในสัญญาว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงินกับธนาคาร J
ประเทศญี่ปุ่น (ธนาคาร) โดยมีวัตถุประสงค์ให้ธนาคารให้คำแนะนำปรึกษาทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับ
การจัดหาเงินกู้และการประกันความเสี่ยงทางด้านการเมืองดังกล่าวจาก MIT ทั้งนี้ ธนาคารมีขอบเขต
ของงาน ดังนี้
1. ตรวจทานเอกสารหลักที่เกี่ยวข้องกับโครงการและการให้คำแนะนำบริษัทฯ เกี่ยวกับ
วิธีการดำเนินการ ข้อกำหนดและเงื่อนไขเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินกู้จากผู้ให้กู้ และการประกันความเสี่ยง
PRI จาก MIT
2. จัดเตรียมเอกสารตลอดจนปรับปรุงข้อมูลที่เกี่ยวเนื่องกับ Informa tion Memorandum
และข้อตกลงทางการเงินเบื้องต้น (Financing Term Sheet) ในกรณีที่บริษัทฯ ร้องขอ
3. แนะนำการวางโครงสร้างเงินกู้ภายใต้การประกันความเสี่ยง PRI ของ MIT ซึ่งเงินกู้
ดังกล่าวจะจัดสรรโดยธนาคารหรือไม่ก็ได้ รวมถึงการแนะนำในส่วนที่เกี่ยวกับข้อตกลง เงื่อนไข การ
เจรจาต่อรอง การประสานงานกับฝ่ายกฎหมาย ฝ่ายบัญชีและที่ปรึกษาทางการเงินอื่นเพื่อก่อให้เกิดการ
ลงนามในสัญญาเงินกู้ และการประกันความเสี่ยง PRI จาก MIT
4. ดำเนินการในฐานะของบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินในการเจรจาเรื่องข้อตกลงเบื้องต้น
และเงื่อนไขกับ MIT
เนื่องจากธนาคาร J เป็นบริษัทซึ่งจดทะเบียนภายใต้กฎหมายของประเทศญี่ปุ่น มีสำนักงาน
ตัวแทนอยู่ในประเทศไทยและดำเนินธุรกรรมวิเทศธนกิจ แต่มิได้มีการให้บริการที่ปรึกษาทางการเงิน
โดยไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และมิได้มีการให้บริการที่ปรึกษาทางการเงินผ่านสำนักงานตัวแทนใน
ไทยแต่อย่างใด
บริษัทฯ ได้ตกลงในการจ่ายชำระค่าธรรมเนียม โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนดังนี้
1. Success Fee USD 100,000 ให้ธนาคาร J แล้วแต่เหตุการณ์ใดจะเกิดก่อนระหว่าง
1) Condition Precedent สำหรับการขอเบิกเงินกู้ภายใต้ MITI Facility
หรือ
2) การเบิกเงินกู้ครั้งแรก
2. บริษัทฯ ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายอื่น (Out-of Pocket) อาทิ ค่าโทรศัพท์ ค่าโทรสาร
ค่าขนส่ง ค่าใช้จ่ายในการถ่ายสำเนาเอกสาร ค่าเดินทางและค่าที่พักที่เกิดจากการร่วมการประชุมกับ
ทางบริษัทฯ โดยทางธนาคาร J จะเรียกคืนจากทางบริษัทฯ เป็นรายเดือน โดยใบเสร็จค่าใช้จ่ายต่างๆ
ที่ทางธนาคาร J จ่ายไปนั้น บางฉบับมิได้ออกในนามบริษัทฯ บริษัทฯ จะต้องรับภาระภาษีจากค่าบริการ
ทั้งสองอย่างไร นั้น
แนววินิจฉัย: 1. ภาษีเงินได้นิติบุคคล เงินได้จากการให้บริการที่ปรึกษาทางการเงินทั้งในส่วนของ
Success Fee และค่าใช้จ่ายอื่น (Out-of Pocket) ของธนาคาร J โดยธนาคาร J มิได้เป็น
ผู้ให้กู้ ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว เข้าลักษณะเป็นกำไรจากธุรกิจ แต่เนื่องจากไม่ได้ให้บริการโดยผ่าน
สถานประกอบการถาวรในไทย ธนาคาร J จึงได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทย จาก
เงินได้ที่ได้รับดังกล่าวตามข้อ 7 วรรคหนึ่ง แห่งอนุสัญญาระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่น เพื่อการ
เว้นการเก็บภาษีซ้อน และมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2505
2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม การให้บริการที่ปรึกษาทางการเงินของธนาคาร J ใน ต่างประเทศ โดย
มีวัตถุประสงค์ให้คำแนะนำทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาเงินกู้แก่บริษัทฯ เข้าลักษณะเป็นการ
ให้บริการโดยผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักร และได้นำผลของบริการมาใช้ในราชอาณาจักร ตาม
มาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ ในประเทศไทยผู้จ่ายค่าปรึกษาจึงมีหน้าที่ต้องนำส่ง
ภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 83/6 แห่งประมวลรัษฎากร
เลขตู้: 64/30462

 

 

ปรับปรุงล่าสุด: 22-05-2020