พระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ 290) พ.ศ. 2538 ----------------------- ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ.2538 เป็นปีที่ 50 ในรัชกาลปัจจุบัน | |||
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้พึงประเมินที่เป็นดอกเบี้ยเงินฝากประจำที่ได้รับจากธนาคารในบางกรณี อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 5) พุทธศักราช 2538 และมาตรา 3(1) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2496 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา 1 พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ 290) พ.ศ. 2538 มาตรา 2 พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา 3 ให้ลดอัตราภาษีเงินได้ตามมาตรา 48(3)(ก) และมาตรา 50(2)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร และคงจัดเก็บในอัตราร้อยละ 10 ของเงินได้ สำหรับเงินได้พึงประเมินที่เป็นดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร ประเภทเงินฝากประจำทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข ดังนี้ (1) ต้องเป็นบัญชีเงินฝากประจำที่มีสมุดเงินฝากโดยเฉพาะเพื่อการเสียภาษีอัตราพิเศษตามพระราชกฤษฎีกานี้แยกต่างหากจากเงินฝากประเภทอื่น และระบุข้อความว่าเป็นบัญชีเงินฝากประจำตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป (2) ต้องเป็นบัญชีเงินฝากประจำประเภทที่มีระยะเวลาการฝากตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป และเมื่อครบกำหนดระยะเวลาการฝากแล้วได้ถอนเงินฝากนั้น ในกรณีดังต่อไปนี้ (ก) เพื่อใช้สำหรับการศึกษาของตนเองหรือครอบครัว (ข) เพื่อใช้สำหรับที่อยู่อาศัยของตนเองหรือครอบครัว หรือ (ค) เมื่อผู้ฝากมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป (3) การนับอายุเงินฝากตาม (2) ให้นับจากยอดเงินฝากแต่ละคราว (4) ต้องไม่นำเงินฝากตาม (2) ไปค้ำประกันการกู้ยืมเงินของตนเองหรือบุคคลอื่น (5) กรณีที่มีการถอนเงินฝากตามหลักเกณฑ์ตาม (2) ผู้ฝากต้องลงนามรับรองว่าเป็นการถอนที่เข้ากรณีหนึ่งกรณีใดตาม (2) และให้ธนาคารเก็บรักษาเอกสารดังกล่าวไว้เป็นหลักฐาน มาตรา 4 ในกรณีที่มีการถอนเงินฝากก่อนครบกำหนดระยะเวลาการฝากตามมาตรา 3(2) หรือถอนเมื่อครบกำหนดระยะเวลาการฝาก แต่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามมาตรา 3(2) ให้ถือว่าเป็นกรณีที่ธนาคารหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายขาดไป สำหรับดอกเบี้ยเงินฝากประจำส่วนที่ได้จ่ายไปแล้ว และให้ธนาคารนำส่งภาษีส่วนที่ขาด พร้อมเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีส่วนที่ขาด โดยไม่มีเบี้ยปรับ ให้ธนาคารนำส่งภาษีและเงินเพิ่มตามวรรคหนึ่งพร้อมยื่นรายการ ตามแบบที่อธิบดีกำหนดภายใน 7 วัน นับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่มีการผิดหลักเกณฑ์อันเป็นเหตุให้ไม่ได้รับสิทธิลดอัตราภาษีตามพระราชกฤษฎีกานี้ ? มาตรา 5 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้พึงประเมินที่เป็นดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักรประเภทเงินฝากประจำที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป โดยเมื่อครบกำหนดเวลาฝาก 5 ปีแล้ว ให้ถอนเงินฝากได้เฉพาะเพื่อใช้สำหรับการศึกษา หรือเพื่อใช้สำหรับที่อยู่อาศัย หรือเป็นการถอนเมื่อผู้ฝากมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป เพื่อเป็นการสนับสนุนการออมระยะยาว จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ |
(ร.จ. ฉบับกฤษฎีกา เล่ม 112 ตอนที่ 57 ก. ลงวันที่ 30 ธันวาคม 2538)