เลขที่หนังสือ | : กค 0702/2993 | วันที่ | : 9 มีนาคม 2558 | เรื่อง | : ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย กรณีผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมขายที่ดินเฉพาะส่วนของตน | ข้อกฎหมาย | : มาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากร | ข้อหารือ |
1.นายธ. (นาย ธ.) และนางสาว ณ. (นางสาว ณ.) ได้ร่วมกันซื้อที่ดินเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2527 และมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันมาโดยตลอด
2.เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2555 นาย ธ. และนางสาว ณ. ได้ขายที่ดินที่ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันตาม 1. โดยทำสัญญาขายเฉพาะส่วนและจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเฉพาะส่วนของตน ดังนี้ (1)นาย ธ. ขายที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้แก่บริษัท ท. จำกัด (2)นางสาว ณ. ขายที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้แก่บริษัท ต. จำกัด 3.พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับจดทะเบียนได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนตามคำขอของนาย ธ. และนางสาว ณ. พร้อมทั้งเรียกเก็บภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย จากนาย ธ. และนางสาว ณ. คนละ 900,400 บาท โดยคำนวณตามส่วนจากราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งเป็นราคาที่ใช้อยู่ในวันที่มีการโอนนั้น (ราคาประเมินทุนทรัพย์ฯ ตามส่วนๆ ละ 14,504,000 บาท) 4.กรมที่ดินขอหารือดังนี้ 4.1พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับจดทะเบียนได้เรียกเก็บภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายจากนาย ธ. และนางสาว ณ. ตามข้อเท็จจริงข้างต้นนั้น ถูกต้องหรือไม่ 4.2หากปรากฏข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้ พนักงานเจ้าหน้าที่จะต้องเรียกเก็บภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายอย่างไร (1)ผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม ได้แยกกันขายที่ดินให้แก่ผู้ซื้อต่างรายกันในวันเดียวกัน (2)ผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม ได้แยกกันขายที่ดินให้แก่ผู้ซื้อรายเดียวกันแต่ต่างวันกัน | แนววินิจฉัย |
1.กรณีนาย ธ. และนางสาว ณ. ได้ร่วมกันซื้อที่ดิน เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2527 และเข้าถือกรรมสิทธ์ที่ดินแปลงดังกล่าวพร้อมกัน ไม่ได้มีการแบ่งแยกที่ดินหรือบรรยายส่วนกันไว้อย่างชัดเจน ต่อมา นาย ธ. และนางสาว ณ. ต่างได้ขายที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้แก่บุคคลอื่นตามข้อเท็จจริงข้างต้น แม้นาย ธ. และนางสาว ณ. จะได้ทำสัญญาซื้อขายแยกกัน และพนักงานเจ้าหน้าที่ได้จดทะเบียนขายเฉพาะส่วนตามคำขอของผู้ขอแต่ละคนก็ตาม แต่เมื่อการถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดดังกล่าว เกิดขึ้นเนื่องจากการทำนิติกรรมซื้อขายและได้เข้าถือกรรมสิทธิ์รวมพร้อมกัน ดังนั้น นาย ธ. และนางสาว ณ. จึงต้องเสียภาษีเงินได้ในฐานะห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ซึ่งเป็นหน่วยภาษีแยกต่างหากจากบุคคลธรรมดาตามมาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากร
2.กรณีที่กรมที่ดินขอทราบแนวปฏิบัติเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่เรียกเก็บภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายตาม 4.2 นั้น ขอเรียนว่า ในการขายอสังหาริมทรัพย์ กรณีที่มีการถือกรรมสิทธ์รวมนั้น ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีหน้าที่ต้องเสียภาษี ดังนี้ (1)กรณีการถือกรรมสิทธิ์รวมเกิดขึ้นเนื่องจากการได้รับมรดก การให้โดยเสน่หา การครอบครองปรปักษ์ หรือจากการที่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ให้บุคคลอื่นเข้าถือกรรมสิทธิ์รวมในภายหลัง ให้บุคคลแต่ละคนที่ถือกรรมสิทธิ์รวมเสียภาษีเงินได้ในฐานะบุคคลธรรมดา โดยแยกเงินได้ตามส่วนของแต่ละคนที่มีส่วนอยู่ในอสังหาริมทรัพย์ที่ถือกรรมสิทธิ์รวม (2)กรณีการถือกรรมสิทธิ์รวมเกิดขึ้นเนื่องจากการทำนิติกรรมซื้อขาย ขายฝาก หรือแลกเปลี่ยน โดยเข้าถือกรรมสิทธ์รวมพร้อมกัน ให้เสียภาษีเงินได้ในฐานะห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล แต่หากไม่ได้มีการเข้าถือกรรมสิทธิ์รวมพร้อมกัน ให้บุคคลแต่ละคนที่ถือกรรมสิทธิ์ รวมเสียภาษีเงินได้ในฐานะบุคคลธรรมดา โดยแยกเงินได้ตามส่วนของแต่ละคนที่มีส่วนอยู่ในอสังหาริมทรัพย์ที่ถือกรรมสิทธิ์รวม ดังนั้น ขอให้กรมที่ดินพิจารณาข้อเท็จจริงในการเข้าถือกรรมสิทธิ์รวมของผู้ขายอสังหาริมทรัพย์นั้นว่า เข้าลักษณะตามเหตุใดในข้อ (1) และ (2) ในการเรียกเก็บภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย | เลขตู้ | : 78/39558 |