เมนูปิด

เลขที่หนังสือ: กค 0706/พ./9712
วันที่: 21 พฤศจิกายน 2548
เรื่อง: ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการหักกลบลบหนี้เงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม
ข้อกฎหมาย: มาตรา 10 ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการหักกลบลบหนี้
ข้อหารือ: 1. บริษัทฯ เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ยื่นคำร้องขอคืน
ภาษีมูลค่าเพิ่มต่อสำนักงานสรรพากรพื้นที่
1.1 วันที่ 4 มีนาคม 2547 บริษัทฯ ได้ยื่นแบบ ค.10 เพื่อขอคืน
ภาษีมูลค่าเพิ่มของเดือนภาษีเมษายนถึงเดือนภาษีกรกฎาคม เดือนภาษีกันยายน
เดือนภาษีพฤศจิกายน 2545 และเดือนภาษีพฤศจิกายน 2546 จำนวนรวม
3,223,199.78 บาท แต่จากการเข้าตรวจปฏิบัติการของสำนักงานสรรพากรพื้นที่
พบว่า เดือนภาษีกันยายน 2547 บริษัทฯ มีภาษีต้องชำระจำนวน 1,794,162.00
บาท เจ้าพนักงานประเมินได้ส่งหนังสือแจ้งการประเมินไปแล้วเมื่อวันที่ 28
ธันวาคม 2547
1.2 วันที่ 14 ตุลาคม 2547สำนักงานสรรพากรพื้นที่ได้รับหมายอายัด
ชั่วคราวจากศาลแรงงานกลางอายัดสิทธิเรียกร้องของบริษัทฯ และวันที่ 29
พฤศจิกายน 2547 ได้รับหนังสือจากสำนักงานบังคับคดีจังหวัดแจ้งอายัดเงินคืน
ภาษีมูลค่าเพิ่มของบริษัทฯ จำนวน 958,923.55 บาท
1.3 วันที่ 1 ธันวาคม 2547สำนักงานสรรพากรพื้นที่ได้รับหนังสือแจ้งการ
โอนสิทธิเรียกร้องในเงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่มของบริษัทฯ เพื่อโอนสิทธิขอรับเงินคืน
ภาษีมูลค่าเพิ่มของบริษัทฯ ไปให้แก่ บริษัท อ.
1.4 วันที่ 10 มกราคม 2548 สำนักงานสรรพากรพื้นที่ได้หักกลบลบหนี้เงิน
คืนภาษีมูลค่าเพิ่มกับหนี้ภาษีอากรค้างตามหนังสือแจ้งการประเมินดังกล่าว และได้
นำส่งเงินตามหมายบังคับคดีจำนวน 958,923.55 บาท
1.5 วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2548สำนักงานสรรพากรพื้นที่ได้รับหนังสือจาก
สำนักงานประกันสังคมจังหวัดขอทราบจำนวนเงินคงเหลือของบริษัทฯ โดยอาศัย
อำนาจตามมาตรา 80(3) แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533
แนววินิจฉัย: 1. ประเด็นเรื่องการส่งเงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่มตามหมายบังคับคดี ปรากฏ
ข้อเท็จจริงว่า บริษัทฯ มีสิทธิจะได้รับเงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจากกรมสรรพากรเป็น
จำนวนเงินรวม 3,223,199.78 บาท แต่เนื่องจากก่อนที่กรมสรรพากรจะคืนเงิน
จำนวนดังกล่าวให้แก่บริษัทฯ บริษัทฯ ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีหมายเลขดำและ
โจทก์ในคดีดังกล่าวได้ยื่นคำร้องต่อศาลแรงงานกลางเพื่อให้มีคำสั่งอายัดสิทธิ
เรียกร้องเงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่มที่บริษัทฯ มีต่อกรมสรรพากร และศาลแรงงานกลางฯ
ได้ส่งหมายอายัดชั่วคราวถึงสำนักงานสรรพากรพื้นที่แล้วเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม
2547 อันเป็นการปฏิบัติตามมาตรา 254 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
แพ่ง เมื่อสำนักงานบังคับคดีจังหวัดได้ส่งหนังสือถึงสำนักงานสรรพากรพื้นที่แจ้ง
อายัดและให้ส่งเงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่มของบริษัทฯ จำนวน 958,923.55 บาท ไปยัง
สำนักงานบังคับคดีตามจังหวัดหมายบังคับคดีฯ สำนักงานสรรพากรพื้นที่จึงมี
หน้าที่ต้องส่งเงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวนดังกล่าวไปยังสำนักงานบังคับคดีจังหวัด
2. ประเด็นเรื่องการหักกลบลบหนี้ก่อนที่บริษัทฯ จะได้รับเงินคืน
ภาษีมูลค่าเพิ่มตาม 1. บริษัทฯ มีภาษีอากรตามการประเมินของเจ้าพนักงาน
ประเมินสำหรับเดือนภาษีกันยายน 2547 เป็นจำนวน 1,794,162.00 บาทและเจ้า
พนักงานประเมินได้แจ้งการประเมินเป็นหนังสือไปยังบริษัทฯ ทราบแล้ว ซึ่งหากไม่
มีการอุทธรณ์การประเมินและทุเลาการเสียภาษีอากรแล้วกรณีย่อมถือได้ว่า บริษัทฯ มี
หนี้ภาษีอากรค้างและมีหน้าที่ต้องชำระให้แก่กรมสรรพากรแล้ว
กรณีบริษัทฯ โอนสิทธิในการขอรับเงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่บริษัท อ. ซึ่งได้
มีการแจ้งโอนสิทธิเรียกร้องเป็นหนังสือให้แก่สำนักงานสรรพากรพื้นที่ทราบแล้วเมื่อ
วันที่ 1 ธันวาคม 2547 ตามมาตรา 306 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
แล้ว อย่างไรก็ดี บริษัทฯ มีหน้าที่ต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับเดือนภาษี
กันยายน 2547 ตามหนังสือแจ้งการประเมิน ลงวันที่ 28 ธันวาคม 2547 จึงถือได้ว่า
กรมสรรพากรในฐานะลูกหนี้ของบริษัทฯ มีสิทธิเรียกร้องในหนี้ค่าภาษีอากรจาก
บริษัทฯ กรมสรรพากรจึงมีสิทธินำสิทธิเรียกร้องในเงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่มของบริษัทฯ
สำหรับเดือนภาษีกันยายน 2547 มาหักกลบลบหนี้ได้ เนื่องจากสิทธิเรียกร้องของ
บริษัทฯ ในเงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับเดือนภาษีกันยายน 2547 จะได้ถึงกำหนด
ชำระและไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดแห่งสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไป ทั้งนี้ ตามมาตรา
308 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้น กรมสรรพากรมีสิทธิ
นำหนี้ภาษีอากรค้างจำนวน 1,794,162.00 บาท มาหักกลบลบหนี้กับเงินคืน
ภาษีมูลค่าเพิ่มที่เหลือจำนวน 2,264,276.23 บาทได้
3. ประเด็นเรื่องการคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่ม สำนักงานสรรพากรพื้นที่จะต้องคืน
เงินภาษีมูลค่าเพิ่มที่เหลือจำนวน 470,114.23 บาท ให้แก่ผู้ขอคืนตามที่กำหนดไว้
ในหมวด 6 ส่วนที่ 2 และ 3 ของระเบียบกรมสรรพากร ว่าด้วยการคืนเงิน
ภาษีมูลค่าเพิ่ม พ.ศ. 2539
4. ประเด็นเรื่องการแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนเงินคงเหลือ เนื่องจากข้อมูล
เกี่ยวกับจำนวนเงินคงเหลือภายหลังการคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มของบริษัทฯ มี
ลักษณะเป็นข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความครอบครองหรือควบคุมดูแลของหน่วยงาน
ของรัฐในส่วนที่เป็นข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเอกชน จึงเป็นข้อมูลข่าวสารของราชการ
ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสาร พ.ศ. 2540 แต่เนื่องจากการ
เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่ม เข้าลักษณะเป็นการเปิดเผย
กิจการของผู้เสียภาษีอากรหรือผู้อื่นที่เกี่ยวข้องจึงต้องห้าม มิให้เจ้าพนักงานนำออก
แจ้งแก่ผู้ใดหรือยังให้ทราบกันไปโดยวิธีใด เว้นแต่จะมีอำนาจที่จะทำได้โดยชอบ
ด้วยกฎหมายตามมาตรา 10 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งเมื่อพิจารณามาตรา 80(3)
แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 แล้วได้ความว่า ในการปฏิบัติการตาม
หน้าที่ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจทำหนังสือสอบถามหรือเรียกบุคคลใดมาให้
ถ้อยคำ หรือให้ส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาเพื่อประกอบการพิจารณา
บทบัญญัติดังกล่าวเป็นการให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานของสำนักงานประกันสังคมใน
การขอทราบข้อมูลต่าง ๆ ของนายจ้างหรือลูกจ้างจากผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์ใน
การปฏิบัติตามหน้าที่อันถือได้ว่า มีอำนาจทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น หาก
ข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนเงินคงเหลือของบริษัทฯ ที่สำนักงานประกันสังคมจังหวัด
ขอให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่แจ้งให้ทราบ เป็นข้อมูลที่สำนักงานประกันสังคม
จังหวัดจำเป็นต้องใช้เพื่อการปฏิบัติหน้าที่ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ก็มีอำนาจที่
จะแจ้งข้อมูลทางการเงินของบริษัทฯ ให้แก่สำนักงานประกันสังคมจังหวัดได้
เลขตู้: 68/33639

 


 

 

ปรับปรุงล่าสุด: 22-05-2020