เมนูปิด

เลขที่หนังสือ: กค 0706/9346
วันที่: 10 พฤศจิกายน 2548
เรื่อง: ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการจ่ายเงินค่าติดตั้งและซ่อมแซมอาวุธสงครามไปต่างประเทศ
ข้อกฎหมาย: มาตรา 76 ทวิ
ข้อหารือ: ส่วนราชการยื่นแบบนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.36) สำหรับเดือนภาษีมกราคม
ถึงมีนาคม ตุลาคมและธันวาคม 2542 โดยแจ้งประเภทเงินได้ที่จ่ายเป็นค่าบริการ
ให้ผู้ประกอบการต่างประเทศตามสัญญา จำนวน 5 ชุด ดังนี้
สัญญาชุดที่ 1 บริษัท H ในประเทศเนเธอร์แลนด์ ส่งเจ้าหน้าที่เทคนิคเข้ามา
ติดตั้งระบบควบคุมการยิงของเรือในประเทศไทย โดยบริษัท H เนเธอร์แลนด์เป็น
ผู้จัดการอุปกรณ์ กำหนดแล้วเสร็จภายใน 9 สัปดาห์
สัญญาชุดที่ 2 ส่วนราชการส่งอะไหล่ระบบอาวุธปล่อยนำวิถีเอ็กโซเซ็ทให้บริษัท
A ในประเทศฝรั่งเศสซ่อม โดยบริษัท A ฝรั่งเศสเป็นผู้จัดหาอุปกรณ์กำหนดแล้ว
เสร็จภายใน 12 เดือน
สัญญาชุดที่ 3 บริษัท G ในประเทศอังกฤษ ส่งเจ้าหน้าที่เทคนิคเข้ามาติดตั้ง
อุปกรณ์ตอร์ปิโดสติงเรย์ ของเรือในประเทศไทย กำหนดแล้วเสร็จภายใน 4 สัปดาห์
สัญญาชุดที่ 4 ส่วนราชการส่ง TV CAMERA ระบบเครื่องควบคุมการยิงให้
บริษัท B ประเทศอังกฤษซ่อม โดยบริษัท B เป็นผู้จัดหาอุปกรณ์ กำหนดแล้วเสร็จ
ภายใน 27 สัปดาห์
สัญญาชุดที่ 5 บริษัท C ในประเทศจีนเข้ามาซ่อมเครื่องทดสอบระบบอาวุธ
ปล่อยนำวิถีในประเทศไทย กำหนดแล้วเสร็จภายใน 25 วันทำงาน ต้องหักภาษีจาก
เงินได้พึงประเมินที่จ่ายอย่างไร
แนววินิจฉัย: 1.กรณีที่ 1 ส่วนราชการตกลงว่าจ้าง บริษัท H ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้ง
ขึ้นตามกฎหมายของประเทศเนเธอร์แลนด์ ตามสัญญาจ้างติดตั้งระบบเครื่อง
ควบคุมการยิง เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า บริษัท H ส่งเจ้าหน้าที่เทคนิคเข้ามาติดตั้ง
ระบบฯ ในประเทศไทยประมาณ 9 สัปดาห์ กรณีดังกล่าวถือได้ว่า บริษัท H
ประกอบกิจการในประเทศไทยโดยมีลูกจ้างหรือผู้ทำการแทนหรือผู้ทำการติดต่อใน
การประกอบกิจการในประเทศไทยตามมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
อย่างไรก็ดี เงินได้ดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นกำไรจากธุรกิจ ตามข้อ 7 แห่งอนุสัญญา
ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์เพื่อ
การเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงการรัษฎากร ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษี
เก็บจากเงินได้และจากทุน กรณียังถือไม่ได้ว่า บริษัท H มีสถานประกอบการถาวรใน
ประเทศไทย ตามข้อ 5 แห่งอนุสัญญาฯ
ดังนั้น บริษัท H จึงได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทย ตามข้อ 7
แห่งอนุสัญญาฯ ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2505 และเมื่อส่วนราชการจ่ายเงินได้
ดังกล่าวออกไป จึงไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายแต่อย่างใด
2.กรณีที่ 2 ส่วนราชการตกลงว่าจ้างบริษัท A ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้ง
ขึ้นตามกฎหมายของประเทศฝรั่งเศส ตามสัญญาจ้างซ่อมอะไหล่ระบบอาวุธปล่อย
นำวิถีเอ็กโซเซ็ท ให้ซ่อมอะไหล่ระบบอาวุธปล่อยนำวิถีเอ็กโซเซ็ท จำนวน 6
รายการ โดยส่วนราชการจะจัดส่งอะไหล่ระบบอาวุธปล่อยนำวิถีเอ็กโซเซ็ทไปให้
บริษัท A ซ่อมที่ประเทศฝรั่งเศส
กรณีดังกล่าวถือไม่ได้ว่า บริษัท A ประกอบกิจการในประเทศไทยตามมาตรา 66
วรรคสอง และมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร เนื่องจากการบริการซึ่งถือเป็น
สาระสำคัญของสัญญาทั้งหมดกระทำในประเทศฝรั่งเศส และเนื่องจากเงินได้
ดังกล่าว เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร
บริษัท A จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 70 แห่งประมวล
รัษฎากรแต่อย่างใด
ดังนั้น เมื่อส่วนราชการจ่ายเงินได้ดังกล่าวออกไป จึงไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีจาก
เงินได้พึงประเมินที่จ่ายแต่อย่างใด
3.กรณีที่ 3 ส่วนราชการตกลงว่าจ้าง บริษัท G ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้ง
ขึ้นตามกฎหมายของสหราชอาณาจักรอังกฤษและไอร์แลนด์เหนือ ตามสัญญาจ้าง
เจ้าหน้าที่เทคนิคในการติดตั้งอุปกรณ์ตอร์ปิโดสติงเรย์ ให้จัดส่งเจ้าหน้าที่เทคนิคใน
การติดตั้งอุปกรณ์ตอร์ปิโดสติงเรย์ PMW-49A ของเรือในประเทศไทย
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า บริษัท G ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาติดตั้งอุปกรณ์ตอร์ปิโด
สติงเรย์ฯ ในประเทศไทยประมาณ 4 สัปดาห์ กรณีดังกล่าวถือได้ว่า บริษัท G
ประกอบกิจการในประเทศไทยโดยมีลูกจ้างหรือผู้ทำการแทนหรือผู้ทำการติดต่อใน
การประกอบกิจการในประเทศไทยตามมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
อย่างไรก็ดี เงินได้ดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นกำไรจากธุรกิจ ตามข้อ 8 แห่งอนุสัญญา
ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรอังกฤษและ
ไอร์แลนด์เหนือเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงการรัษฎากร
ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ กรณียังถือไม่ได้ว่า บริษัท G มีสถาน
ประกอบการถาวรในประเทศไทย ตามข้อ 5 แห่งอนุสัญญาฯ
ดังนั้น บริษัท G จึงได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทย ตามข้อ 7
แห่งอนุสัญญาฯ ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่า
ด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2505 และเมื่อส่วนราชการจ่ายเงินได้
ดังกล่าวออกไป จึงไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายแต่อย่างใด
4.กรณีที่ 4 ส่วนราชการตกลงว่าจ้าง บริษัท B ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้ง
ขึ้นตามกฎหมายของสหราชอาณาจักรอังกฤษและไอร์แลนด์เหนือ ตามสัญญาจ้าง
ซ่อม TV CAMERA ระบบเครื่องควบคุมการยิง SEA ARCHER ให้ซ่อม TV
CAMERA โดยส่วนราชการจะส่งไปให้บริษัท B ที่สหราชอาณาจักรและต้องส่งมอบ
งานในประเทศไทยเมื่อซ่อมเสร็จ
กรณีดังกล่าวถือไม่ได้ว่า บริษัท B ประกอบกิจการในประเทศไทยตามมาตรา 66
วรรคสอง และมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร เนื่องจากการบริการซึ่งถือเป็น
สาระสำคัญของสัญญาทั้งหมดกระทำในประเทศอังกฤษ และเนื่องจากเงินได้
ดังกล่าวเข้าลักษณะเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร
บริษัท B จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากรแต่อย่างใด
ดังนั้น เมื่อส่วนราชการจ่ายเงินได้ดังกล่าวออกไป จึงไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีจาก
เงินได้พึงประเมินที่จ่ายแต่อย่างใด
5.กรณีที่ 5 ส่วนราชการมีหนังสือไปยังบริษัท C แห่งประเทศสาธารณรัฐ
ประชาชนจีน ตกลงจ้างบริษัท C บำรุงรักษาอุปกรณ์ทดสอบ
ข้อเท็จจริงปรากฏว่า บริษัท C ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาซ่อมแซมเครื่องทดสอบระบบ
อาวุธปล่อยนำวิถีในประเทศไทยประมาณ 25 วันทำการ กรณีดังกล่าวถือได้ว่า
บริษัท C ประกอบกิจการในประเทศไทยโดยมีลูกจ้างหรือผู้ทำการแทนหรือผู้ทำ
การติดต่อในการประกอบกิจการในประเทศไทยตามมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวล
รัษฎากร อย่างไรก็ดี เงินได้ดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นกำไรธุรกิจ ตามข้อ 7 แห่ง
ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐ
ประชาชนจีน เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงการรัษฎากร
ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ กรณีจึงถือไม่ได้ว่า บริษัท C มีสถาน
ประกอบการถาวรในประเทศไทย ตามข้อ 5 แห่งอนุสัญญาฯ
ดังนั้น บริษัท C จึงได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทย ตามข้อ 7
แห่งอนุสัญญาฯ ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2505 และเมื่อส่วนราชการจ่ายเงินได้
ดังกล่าวออกไป จึงไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายแต่อย่างใด
เลขตู้: 68/33673

 


 

 

ปรับปรุงล่าสุด: 22-05-2020