ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 198)
เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการลดอัตราภาษีเงินได้
ของบริษัทซึ่งประกอบกิจการศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศ
-----------------------------------
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 มาตรา 8 มาตรา 11 (4) และ (5) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 518) พ.ศ. 2554 อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการลดอัตราภาษีเงินได้ของบริษัทซึ่งประกอบกิจการศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้บริษัทซึ่งประกอบกิจการศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศที่ประสงค์จะได้รับสิทธิลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 9 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 518) พ.ศ. 2554 แจ้งการจัดตั้งศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศต่ออธิบดีกรมสรรพากร ตามแบบแจ้งการจัดตั้งศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศที่แนบท้ายประกาศนี้ โดยให้ยื่น ณ สำนักบริหารธุรกิจขนาดใหญ่ กรมสรรพากร หรือยื่น ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ในเขตท้องที่ที่บริษัทซึ่งประกอบกิจการศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศมีสถานประกอบการตั้งอยู่ก็ได้ ในกรณีมีสถานประกอบการหลายแห่ง ให้ยื่น ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ ในเขตท้องที่ที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทซึ่งประกอบกิจการศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศตั้งอยู่ ทั้งนี้ บริษัทซึ่งประกอบกิจการศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศต้องจดแจ้งภายในสองปีนับแต่วันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 บริษัทซึ่งประกอบกิจการศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศมีสิทธิที่จะใช้แบบแจ้งการจัดตั้งศูนย์กลาง
การจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศที่พิมพ์จากระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทางเว็บไซต์ของกรมสรรพากร www.rd.go.th หรือจะใช้แบบแจ้งการจัดตั้งที่กรมสรรพากรจัดพิมพ์ก็ได้
ข้อ 2 การคำนวณกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิของบริษัทซึ่งประกอบกิจการศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศ ให้คำนวณตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร โดยนำรายได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชี หักด้วยรายจ่ายตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในมาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร
กรณีบริษัทซึ่งประกอบกิจการทั้งกิจการศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศและกิจการอื่น ให้บริษัทดังกล่าวคำนวณกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิของแต่ละกิจการแยกต่างหากจากกัน หากรายจ่ายใดไม่สามารถแยกกันได้โดยชัดแจ้งว่าส่วนใดเป็นรายจ่ายของกิจการใดให้บริษัทเฉลี่ยรายจ่ายดังกล่าวตามส่วนของรายได้ระหว่างรายได้จากการประกอบกิจการศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศและรายได้จากกิจการอื่น
กรณีบริษัทซึ่งประกอบกิจการทั้งกิจการศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศและกิจการอื่น หากกิจการศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศมีผลขาดทุนสุทธิให้คงผลขาดทุนสุทธิดังกล่าวไว้ในกิจการศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศเท่านั้น
ข้อ 3 ให้บริษัทซึ่งประกอบกิจการศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ของบริษัท พร้อมทั้งบัญชีงบดุล บัญชีทำการ และบัญชีกำไรขาดทุน ภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี ตามแบบที่อธิบดีกำหนดพร้อมกับชำระภาษีตามมาตรา 68 และมาตรา 69 แห่งประมวลรัษฎากรและยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ของบริษัทภายในสองเดือนนับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาหกเดือนนับแต่วันแรกของรอบระยะเวลาบัญชีตามแบบที่อธิบดีกำหนดพร้อมกับชำระภาษีตามมาตรา 67 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
กรณีบริษัทซึ่งประกอบกิจการทั้งกิจการศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศและกิจการอื่น ให้บริษัทดังกล่าวแยกยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ของบริษัท พร้อมทั้งบัญชีทำการ และบัญชีกำไรขาดทุนของแต่ละกิจการออกเป็นคนละชุด สำหรับบัญชีงบดุลของบริษัทดังกล่าวให้ยื่นพร้อมแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ของบริษัทในกิจการใดกิจการหนึ่งก็ได้ โดยในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ของบริษัทดังกล่าวให้ใช้เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรเดียวกัน
ข้อ 4 พนักงานปฏิบัติงานในศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศซึ่งมีทักษะและความรู้ขั้นต่ำตาม มาตรา 11 (4) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับ 518) พ.ศ. 2545 จะต้องสำเร็จการศึกษาในระดับที่ไม่ต่ำกว่ามัธยมศึกษาตอนปลาย ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นต้น หรือเทียบเท่า
ข้อ 5 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
สาธิต รังคสิริ
(นายสาธิต รังคสิริ)
อธิบดีกรมสรรพากร