เมนูปิด
Untitled Document
เลขที่หนังสือ: กค 0702/2014
วันที่: 16 มีนาคม 2552
เรื่อง: ภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีเข้ามาจัดตั้งสำนักงานภูมิภาคในประเทศไทย
ข้อกฎหมาย: มาตรา 39 และมาตรา 77/1(5) แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อหารือ          องค์การฯ จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายของประเทศสหรัฐอเมริกา มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่รัฐเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นองค์การเอกชนที่ไม่แสวงหาผลกำไรและได้รับอนุญาตจากกระทรวงแรงงานให้เข้ามาจัดตั้งสำนักงาน ภูมิภาคในประเทศไทย ตามโครงการประสานงานให้ความช่วยเหลือและยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับเด็กในภูมิภาคเอเซีย ได้แก่ ประเทศไทย อัฟกานิสถาน อินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา ติมอร์ตะวันออก ซึ่งเน้นการพัฒนาสุขภาพ การโภชนาการและ การศึกษาขั้นพื้นฐาน การให้ความคุ้มครองเด็กด้อยโอกาส โดยให้สำนักงานในประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการประสานงานตั้งแต่ วันที่ 28 กรกฎาคม 2551 ถึงวันที่ 27 กรกฎาคม 2552 การดำเนินงานขององค์การฯ ไม่มีการระดมทุนหรือแสวงหารายได้อื่นใด ไม่ว่าจากแหล่งในประเทศไทยหรือต่างประเทศ องค์การฯ ได้รับเงินสนับสนุนโดยตรงจากสำนักงานใหญ่ในประเทศสหรัฐอเมริกา เท่านั้น จึงขอทราบว่า องค์การฯ ซึ่งเป็นสำนักงานภูมิภาคในประเทศไทย จะต้องนำเงินอุดหนุนที่ได้รับจากสำนักงานใหญ่ มาเสีย ภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ หรือต้องปฏิบัติอย่างไร
แนววินิจฉัย          1. กรณีภาษีเงินได้นิติบุคคล เนื่องจากการดำเนินงานขององค์การฯ ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว มีลักษณะเป็นการดำเนินงาน ให้ความช่วยเหลือโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนแต่อย่างใด การดำเนินงานขององค์การฯ จึงไม่เข้าลักษณะเป็นกิจการซึ่งดำเนินการ เป็นทางค้าหรือหากำไรโดยนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ ตามบทนิยามคำว่า "บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล" ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร องค์การฯ จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทยแต่อย่างใด
          2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องจากการดำเนินงานให้ความช่วยเหลือโดยไม่มีค่าตอบแทนตามข้อเท็จจริงข้างต้น ไม่เข้าลักษณะ เป็นการให้บริการในทางธุรกิจหรือวิชาชีพ องค์การฯ จึงไม่มีฐานะเป็นผู้ประกอบการตามบทนิยามในมาตรา 77/1 (5) แห่งประมวลรัษฎากร และไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากการเข้ามาดำเนินงานในประเทศไทย
เลขตู้: 72/36478

 

ปรับปรุงล่าสุด: 22-05-2020