ข้อ 6 การไม่เลือกประติบัติ 1. คนชาติของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง จะต้องไม่ถูกบังคับในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งให้เสียภาษีอากรใดๆ หรือให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดกฎเกณฑ์ใดๆ เกี่ยวกับการนั้นอันเป็นการนอกเหนือไปจากหรือเป็นภาระหนักกว่าการเก็บภาษีอากรและข้อกำหนดกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคนชาติของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้นถูกหรืออาจถูกบังคับให้เสียหรือให้ปฏิบัติตามในพฤติการณ์เดียวกัน 2. ภาษีอากรเก็บจากสถานประกอบการถาวร ซึ่งคนชาติหรือบรรษัทของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งมีอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง จะต้องไม่เรียกเก็บในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง โดยเป็นการอนุเคราะห์น้อยกว่าภาษีอากรที่เรียกเก็บจากคนชาติหรือบรรษัทของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ ่งนั้น ที่ประกอบกิจกรรมอย่างเดียวกัน วรรคนี้ มิให้แปลความเป็นการผูกพันแก่รัฐผู้ทำสัญญารัฐใด ในอันที่จะให้ค่าลดหย่อนส่วนบุคคลหรือการหักรายจ่ายใดๆ แก่คนชาติของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ซึ่งตามกฎหมายของรัฐนั้นได้ยอมให้เฉพาะแต่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาร ัฐแรกนั้นเท่านั้น 3. บรรษัทของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ซึ่งคนชาติหรือบรรษัทของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งคนเดียวบรรษัทเดียว หรือหลายคนหลายบรรษัท เป็นเจ้าของทุนทั้งหมดหรือแต่บางส่วนจะต้องไม่ถูกบังคับในรัฐผู้ทำสัญญารัฐแรกให้เสียภาษีอากรใดๆ หรือปฏิบัติตามข้อกำหนดกฎเกณฑ์ใดๆ เกี่ยว กับการนั้นอันเป็นการนอกเหนือไปจาก หรือเป็นภาระหนักกว่าภาษีอากร และข้อกำหนดกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งบรรษัทอื่นที่คล้ายคลึงกันของรัฐผู้ทำสัญญารัฐแรกนั้น ซึ่งมีคนชาติหรือบรรษัทของรัฐผู้ทำสัญญารัฐแรกนั้นคนเดียว บรรษัทเดียวหรือหลายคนหลายบรรษัทเป็นเจ้าของเงินทุนทั้งหมด ถูกหรืออาจถูกบังคับให้เสียหรือให้ปฏิบัติตาม 4. เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งข้อนี้ อนุสัญญาฉบับนี้ให้ใช้บังคับแก่ภาษีทุกชนิด และภาษีอื่นที่รัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นบังคับจัดเก็บ ข้อ 7 กำไรจากธุรกิจ 1. กำไรจากอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ ของผู้มีถิ่นที่อยู่ในหรือบรรษัทของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งจะไม่ถูกเก็บภาษีในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง นอกจากผู้มีถิ่นที่อยู่ในหรือบรรษัทนั้นประกอบกิจการค้าหรือธุรกิจในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น โดยผ่านทางสถานประกอบการถาวร ซึ่งตั้งอยู่ในอีกรัฐหนึ่งนั้น ถ้าวิสาหกิจนั้นประกอบธุรกิจดังกล่าวแล้วกำไรจากอุตสาหกรรม และการพาณิชย์ของผู้มีถิ่นที่อยู่หรือบรรษัทนั้นๆ อาจถูกเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งแต่ต้องเก็บจากกำไรเพียงเท่าที่พึงถือว่า เป็นของสถานประกอบการถาวรนั้นเท่า นั้น 2. ในกรณีที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ใน หรือบรรษัทของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ประกอบกิจการค้าหรือธุรกิจในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง โดยผ่านทางสถานประกอบการถาวร ซึ่งตั้งอยู่ในอีกรัฐหนึ่งนั้น ในแต่ละรัฐผู้ทำสัญญาให้ถือว่า กำไรจากอุตสาหกรรมและการพาณิชย์เป็นของสถานประ กอบการถาวรนั้น ในส่วนที่พึงคาดหวังได้ว่า สถานประกอบการถาวรนั้นจะได้รับ หากสถานประกอบการถาวรนั้น เป็นประกอบกิจการผู้มีถิ่นที่อยู่หรือบรรษัทอันแยกต่างหากและเช่นเดียวกันหรือคล้ายคลึงกัน ภายใต้ภาวะเช่นเดียวกันหรือคล้ายคลึงกัน และติดต่ออย่างเป็นอิสระแท้จริง ก ับผู้มีถิ่นที่อยู่ในหรือบรรษัทซึ่งตนเป็นสถานประกอบการถาวรนั้น 3. ในการกำหนดกำไรจากอุตสาหกรรมหรือการพาณิชย์ของสถานประกอบการถาวรให้ยอมให้หักค่าใช้จ่ายซึ่งเกิดขึ้น เพื่อสถานประกอบการถาวรนั้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการบริหารและการจัดการทั่วไป ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญาที่สถานประกอบการถาวรนั้นตั้งอยู่หรือที่อื่น 4. ไม่ให้ถือว่ามีกำไรเกิดขึ้นจากแหล่งภายในรัฐผู้ทำสัญญาที่สถานประกอบการถาวรตั้งอยู่โดยเหตุผลเพียงว่าสถานประกอบการถาวร หรือผู้มีถิ่นที่อยู่หรือบรรษัทซึ่งตนเป็นสถานประกอบการถาวรซื้อของหรือสินค้าให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่หรือบรรษัทนั้นๆ 5. เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งข้อนี้ คำว่า "กำไรจากอุตสาหกรรมและการพาณิชย์" หมายถึง เงินได้ที่มาจากการประกอบการค้าหรือธุรกิจซึ่งรวมถึงกำไรจากการผลิต การค้า เกษตรกรรม การประมง การขุดค้นทรัพยากร การขนส่ง หรือการคมนาคม กำไรนี้ยังรวมถึงรายได้จากการธนาคาร ปร ะกันภัย และกิจกรรมที่คล้ายคลึงกันแต่ไม่รวมถึงเงินได้ที่ระบุไว้ในข้อ 11 (เงินปันผล) ข้อ 12 ดอกเบี้ย ข้อ 13 (ค่าสิทธิ) ข้อ 14 (เงินได้จากอสังหาริมทรัพย์) หรือ ข้อ 15 (รายได้สำหรับบริการส่วนบุคคล) ข้อ 8 บทนิยามของสถานประกอบการถาวร 1. คำว่า "สถานประกอบการถาวร" หมายถึงสถานธุรกิจประจำ ซึ่งผู้มีถิ่นที่อยู่ในหรือบรรษัทของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งใช้ประกอบการค้าหรือธุรกิจ 2. คำว่า"สถานธุรกิจประจำ"ให้หมายความรวมถึง แต่ไม่จำกัดเฉพาะ (ก) สำนักงาน (ข) ร้านค้า หรือสถานที่ประกอบการขายอื่น (ค) โรงงานช่างฝีมือ (ง) โรงงาน (จ) คลังสินค้า (ช) เหมืองแร่ เหมืองหิน หรือสถานที่อื่นที่ใช้ในการขุดค้นทรัพยากร ธรรมชาติ (ซ) อาคารหรือสิ่งก่อสร้าง โครงการติดตั้งหรือประกอบ ซึ่งดำรงอยู่ นานกว่า 6 เดือน 3. แม้จะมีวรรค 1 ของข้อนี้อยู่ สถานประกอบการถาวร ไม่ให้หมายความรวมถึงสถานธุรกิจประจำที่ใช้เพียงเพื่อกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างดังต่อไปนี้ (ก) เพื่อสินค้า ซึ่งเป็นของผู้มีถิ่นที่อยู่ในหรือบรรษัทนั้น (ข) เพื่อการจัดซื้อของหรือสินค้า ให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในหรือบรรษัทนั้น (ค) เพื่อการเก็บรักษา และหรือส่งมอบของที่เป็นของผู้มีถิ่นที่อยู่ในหรือ บรรษัทนั้น (ง) เพื่อรวบรวมข้อสนเทศให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในหรือบรรษัทนั้น (จ) เพื่อทำการโฆษณา ดำเนินการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การแสดงของ หรือสินค้า การให้ข้อสนเทศ หรือกิจกรรมทำนองเดียวกันซึ่งมี ลักษณะเป็นการเตรียมการหรือเป็นส่วนประกอบในกิจการค้า หรือ ธุรกิจของผู้มีถิ่นที่อยู่ในหรือบรรษัทนั้น 4. ถึงแม้ว่า ผู้มีถิ่นที่อยู่ในหรือบรรษัทของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง มิได้มีสถานประกอบการถาวรในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ตามวรรค 1-3 ของข้อนี้ก็ดีให้ยังถือว่าบุคคลนั้นมีสถานประกอบการถาวรในรัฐหลัง ถ้าบุคคลนั้นดำเนินการค้าหรือธุรกิจในรัฐนั้นโดยผ่านทางผู้ทำ การแทนซึ่ง (ก) มีอำนาจทำสัญญาในนามของผู้มีถิ่นที่อยู่ในหรือบรรษัทนั้น และใช้ อำนาจนั้นอยู่เป็นปกติใน รัฐหลัง เว้นไว้แต่ว่าการใช้อำนาจนั้นจำกัด อยู่เฉพาะเพียงแต่การจัดซื้อของหรือสินค้าให้แก่ผู้มีถิ่น ที่อยู่ในหรือ บรรษัทนั้น หรือ (ข) จัดหาสั่งซื้อเป็นปกติในรัฐหลัง ให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในหรือบรรษัทนั้น หรือ (ค) เก็บรักษามูลภัณฑ์ของหรือสินค้า อันเป็นของผู้มีถิ่นที่อยู่ในหรือ บรรษัทนั้นไว้ในรัฐหลัง ซึ่งผู้ทำ การแทนนั้น ดำเนินการส่งมอบอยู่ เป็นปกติ 5. แม้จะมีวรรค 4 ของข้อนี้อยู่ ไม่ให้ถือว่าผู้มีถิ่นที่อยู่ในหรือบรรษัทของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งมีสถานประกอบการถาวรในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง เพราะเหตุแต่เพียงว่าบุคคลนั้นใช้บริการของนายหน้า ตัวแทนค้าต่าง ตัวแทนส่งสินค้า ผู้รับฝาก หรือผู้ทำการแทนอื่น ที่มีสถานภาพเป็นอิสระและดำเนินการอันเป็นปกติในธุรกิจของตนในรัฐนั้นโดยสุจริต เพื่อความมุ่งประสงค์เช่นว่านี้ไม่ให้ถือว่าผู้ทำการแทนใดๆ เป็นผู้ทำการแทนที่มีสถานภาพเป็นอิสระ ถ้าผู้นั้นเป็นผู้ทำแทนโดยเฉพาะทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในหรือบรร ษัทนั้น (หรือให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในหรือบรรษัทนั้น และบุคคลอื่นใดที่ควบคุม ถูกควบคุม หรืออยู่ในความควบคุมร่วมกันกับผู้มีถิ่นที่อยู่ในบรรษัทนั้น) และประกอบกิจกรรมใดๆ ที่ระบุไว้ในวรรค 4 ของข้อนี้ 6. เพียงแต่ข้อเท็จจริงที่ว่า บรรษัทของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งควบคุมหรือถูกควบคุมโดย (ก) บรรษัทของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง หรือ (ข) บรรษัทซึ่งดำเนินการค้าหรือธุรกิจในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น (ไม่ว่าจะผ่านสถานประกอบการ ถาวรหรือไม่ก็ตาม) ไม่ให้นำมา พิจารณาในการที่จะกำหนดว่ากิจกรรมหรือสถานธุรกิจประจำของ บรรษัทใดบรรษัทหนึ่งเป็นสถานประกอบการถาวรของอีกบรรษัท หนึ่ง 7. ให้ถือว่าผู้มีถิ่นที่อยู่ในหรือบรรษัทของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง มีสถานประกอบการถาวรในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ถ้าผู้มีถิ่นที่อยู่ในหรือบรรษัทนั้นจัดบริการให้แก่นักแสดงสาธารณะในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหลัง ดังที่ระบุไว้ในข้อ 15 ข้อ 9 เรือ และอากาศยาน 1. แม้ว่าจะมีบทของวรรค 1 ของข้อ 7 อยู่ เงินได้ที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในหรือบรรษัทของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้มาจากการดำเนินการเดินอากาศยาน ในการจราจรระหว่างประเทศให้ได้รับยกเว้นภาษีในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง 2. ภาษีที่เก็บในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ตามบทของข้อ 7 จากเงินได้ของผู้มีถิ่นที่อยู่ในหรือบรรษัทของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง จากการดำเนินการเดินเรือในการจราจรระหว่างประเทศ ให้ได้รับการลดหย่อนลงเป็นจำนวนเท่ากับร้อยละ 50 ของภาษี 3. ในทำนองเดียวกัน บทของวรรค 1 และ 2 ของข้อนี้ให้ใช้บังคับเกี่ยวกับการเข้าร่วมกลุ่ม ร่วมธุรกิจ หรือสำนักงานกิจการระหว่างประเทศชนิดใดๆ โดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในหรือบรรษัทของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ซึ่งดำเนินการเดินเรือ หรืออากาศยานในการจราจรระหว่างประเทศ ข้อ 10 บุคคลที่สัมพันธ์กัน 1. ถ้าผู้มีถิ่นที่อยู่ในหรือบรรษัทของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งซึ่งได้รับกำไรจากการค้าและอุตสาหกรรมในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง และบุคคลอื่นมีความสัมพันธ์กัน และถ้าบุคคลที่สัมพันธ์กันนี้ ได้วางเกณฑ์หรือกำหนดเงื่อนไขระหว่างเขาเหล่านั้นแตกต่างไปจากเงื่อนไขอัน พึงมีระหว่างบุคคลที่เป็นอิสระ ในกรณีเช่นนั้นเงินได้ใดๆ ซึ่งควรจะเกิดแก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในหรือบรรษัทนั้น หากมิได้มีเงื่อนไขเหล่านั้น แต่มิได้เกิดขึ้นโดยเหตุแห่งเงื่อนไขเหล่านั้น อาจรวมเข้าเป็นเงินได้ของผู้มีถิ่นที่อยู่ หรือบรรษัทนั้น เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งอนุสัญญานี้ และรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้นเก็บภาษีได้ 2. (ก) บุคคลใดนอกเหนือไปจากบรรษัท ให้ถือว่ามีความสัมพันธ์กับ บรรษัท หากบุคคลนั้นเข้าร่วมโดย ตรงหรือโดยอ้อม ในการจัดการ ควบคุม หรือให้เงินทุนแก่บรรษัท (ข) บรรษัทหนึ่งให้ถือว่ามีความสัมพันธ์กับอีกบรรษัทหนึ่ง หากบรรษัท ใดมีส่วนร่วมโดยตรง หรือ โดยอ้อม ในการจัดการ การควบคุม หรือ ให้เงินทุนแก่อีกบรรษัทหนึ่ง หรือถ้าบุคคลคนเดียว หรือ หลายคนมี ส่วนร่วมโดยตรงหรือโดยอ้อมในการดำเนินงาน การควบคุม หรือให้ เงินทุนแก่ ทั้ง สองบรรษัท |