เมนูปิด

                    อนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับ
                  รัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรอังกฤษและไอร์แลนด์เหนือ
            เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงการรัษฎากร
                           ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้


รัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรอังกฤษและไอร์แลนด์เหนือกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย

 

               มีความปรารถนาที่จะทำอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงการรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้

 

               ได้ตกลงกันดังต่อไปนี้

 

 

ข้อ 1

ขอบข่ายด้านบุคคล

 

               อนุสัญญานี้ให้ใช้บังคับแก่บุคคลผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือทั้งสองรัฐ

 

 

ข้อ 2

ภาษีที่อยู่ในขอบข่าย

 

1.             ภาษีที่มีอยู่ในปัจจุบันซึ่งอนุสัญญานี้ใช้บังคับคือ

 

               (ก)          ในกรณีสหราชอาณาจักร

 

                             (1)          ภาษีเงินได้

 

                             (2)          ภาษีเงินได้บริษัท

 

                             (3)          ภาษีเงินได้ผลได้จากทุน

 

                             (4)          ภาษีบำรุงที่ดิน และ

 

                             (5)          ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม

 

                             (ซึ่งต่อไปนี้อนุสัญญานี้จะเรียกว่า "ภาษีสหราชอาณาจักร")

 

               (ข)          ในกรณีประเทศไทย

 

                              (1)          ภาษีเงินได้ และ

 

                              (2)          ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม

 

                              (ซึ่งต่อไปในอนุสัญญานี้จะเรียกว่า "ภาษีไทย")

 

2.             อนุสัญญานี้ให้ใช้บังคับกับภาษีใดๆ ซึ่งในเวลาต่อไปจะได้บังคับจัดเก็บโดยรัฐผู้ทำสัญญารัฐใดรัฐหนึ่งเป็นการเพิ่มเติมหรือแทนที่ภาษีที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยมีเงื่อนไขว่าภาษีนั้นได้รับความเห็นชอบจากเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐบาลผู้ทำสัญญาทั้งสองฝ่ายว่าเป็นภาษีที่เหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันอย่างมากกับภาษีที่มีอยู่ในปัจจุบันในวันที่ได้ลงนามในอนุสัญญานี้ เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาจะได้แจ้งให้แก่กันและกันทราบถึงความเปลี่ยนแปลงใดๆ ซึ่งมีขึ้นในกฎหมายภาษีของแต่ละรัฐ

 

 

ข้อ 3

บทนิยามทั่วไป

 

1.             เว้นแต่บริบทจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ในอนุสัญญานี้

 

               (ก)          คำว่า "สหราชอาณาจักร" หมายถึงบริเวณใหญ่ และไอร์แลนด์เหนือรวมตลอดถึงพื้นที่ใดๆ ที่อยู่นอกทะเลอาณาเขตของสหราชอาณาจักร ซึ่งตามกฎหมายระหว่างประเทศที่กำหนดไว้หรืออาจจะกำหนดไว้ต่อไปในกฎหมายของสหราชอาณาจักร ในส่วนที่เกี่ยวกับไหล่ทวีปว่าเป็นพื้นที่ซึ่งสหราชอาณาจักรอาจใช้สิทธิในส่วนที่เกี่ยวกับพื้นดินท้องทะเลและดินใต้ผิวดินตลอดจนทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่นั้นๆ ได้

 

               (ข)          คำว่า "ประเทศไทย" หมายถึง ราชอาณาจักรไทยและพื้นที่ซึ่งประชิดกับน่านน้ำอาณาเขตของราชอาณาจักรไทย ซึ่งตามกฎหมายไทยและตามกฎหมายระหว่างประเทศได้กำหนดหรืออาจกำหนดในเวลาต่อไปให้เป็นพื้นที่ซึ่งราชอาณาจักรไทยอาจใช้สิทธิภายในพื้นที่นั้นๆ ในส่วนที่เกี่ยวกับพื้นดิน ท้องทะเล และดินใต้ผิวดิน รวมทั้งทรัพยากรธรรมชาติของพื้นดินท้องทะเลและดินใต้ผิวดินนั้น

 

               (ค)          คำว่า "คนชาติ"

 

                             (1)          ในกรณีที่เกี่ยวกับสหราชอาณาจักร หมายถึง คนชาติของสหราชอาณาจักรและของอาณานิคม และคนในบังคับบริติช ซึ่งไม่ถือสัญชาติของสหราชอาณาจักรหรือสัญชาติของประเทศเครือจักรภพหรือของดินแดนเครือจักรภพอื่นใด โดยมีข้อแม้สำหรับกรณีทั้งปวงว่าคนชาติหรือคนในบังคับดังกล่าวเหล่านั้นเป็น "บุคคลผู้มีสิทธิตั้งถิ่นฐานอยู่ในสหราชอาณาจักร" ตามที่ได้บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการเข้าเมือง ค.ศ. 1971 และนิติบุคคล ห้างหุ้นส่วน สมาคม หรือ คณะบุคคลอื่นใดที่ได้รับสถานภาพของตนเช่นว่านั้นตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในสหราชอาณาจักร

 

                             (2)          ในกรณีที่เกี่ยวกับประเทศไทย หมายถึง บุคคลธรรมดาทั้งปวงที่มีสัญชาติไทย และนิติบุคคล ห้างหุ้นส่วน และสมาคมทั้งปวงที่ได้รับสถานภาพเช่นนั้นตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในประเทศไทย

 

               (ง)          คำว่า "ภาษี" หมายถึง ภาษีสหราชอาณาจักร หรือภาษีไทย แล้วแต่บริบทจะกำหนด

 

               (จ)          คำว่า "รัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง" และ "รัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง" หมายถึงสหราชอาณาจักรหรือประเทศไทย แล้วแต่บริบทจะกำหนด

 

               (ฉ)          คำว่า "บุคคล" รวมถึงบุคคลธรรมดา บริษัทและคณะบุคคลอื่นใดซึ่งถือว่าเป็นหน่วยเพื่อประโยชน์ในทางภาษี

 

               (ช)          คำว่า "บริษัท" หมายถึง นิติบุคคล หรือหน่วยใดๆ ซึ่งถือว่าเป็นนิติบุคคลเพื่อประโยชน์ในทางภาษี

 

               (ซ)          คำว่า "วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง" และ "วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง" หมายความตามลำดับว่าวิสาหกิจที่ดำเนินการโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งและวิสาหกิจที่ดำเนินการโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง

 

               (ฌ)         คำว่า "เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ" ในกรณีสหราชอาณาจักร หมายถึง อธิบดีกรมสรรพากรหรือผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจ และในกรณีประเทศไทย หมายถึง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจ

 

               (ญ)         คำว่า "การจราจรระหว่างประเทศ" หมายถึง การขนส่งทางเรือหรือทางอากาศยานซึ่งดำเนินการโดยวิสาหกิจที่มีสถานจัดการอันแท้จริงตั้งอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ยกเว้นเมื่อเรือหรืออากาศยานได้มีการดำเนินงานระหว่างสถานที่ต่างๆ ซึ่งอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งเท่านั้น

 

               (ฏ)          คำว่า "ส่วนราชการ" ในกรณีของสหราชอาณาจักรให้รวมถึงไอร์แลนด์เหนือด้วย

 

2.             ในการใช้บังคับอนุสัญญานี้โดยรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง คำใดๆ ที่มิได้นิยามไว้เป็นอย่างอื่นให้มีความหมายที่คำนั้นๆ มีอยู่ตามกฎหมายเกี่ยวกับภาษีที่อยู่ในขอบข่ายของอนุสัญญานี้ของรัฐผู้ทำสัญญารัฐนั้นเว้นแต่บริบทจะกำหนดเป็นอย่างอื่น

 

 

ข้อ 4

ภูมิลำเนาเพื่อการรัษฎากร

 

1.             เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งอนุสัญญานี้ คำว่า "ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง" ภายใต้บทบัญญัติแห่งวรรค (2) และ (3) ของข้อนี้ หมายถึง บุคคลใดๆ ผู้ซึ่งตามกฎหมายของรัฐนั้นมีหน้าที่เสียภาษีให้รัฐนั้น โดยเหตุผลของการมีภูมิลำเนา สถานที่อยู่ สถานจัดการ สถานจดทะเบียน บริษัท หรือโดยเกณฑ์อื่นใดที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน

 

2.             ถ้าเนื่องจากเหตุผลแห่งบทบัญญัติของวรรคหนึ่งของข้อนี้ บุคคลธรรมดาคนใดเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ ก็ให้วินิจฉัยสถานภาพของบุคคลดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

 

               (ก)          ให้ถือว่าบุคคลธรรมดาผู้มีที่อยู่ถาวรในรัฐผู้ทำสัญญารัฐใด เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐนั้น ถ้าบุคคลธรรมดามีที่อยู่ถาวรในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ ให้ถือว่าเป็นผู้ที่มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งตนมีความสัมพันธ์ทางส่วนตัวและทางเศรษฐกิจใกล้ชิดกว่า (ศูนย์กลางของผลประโยชน์อันสำคัญ)

 

               (ข)          ถ้าไม่อาจกำหนดรัฐผู้ทำสัญญาอันเป็นที่ตั้งศูนย์กลางของผลประโยชน์อันสำคัญของบุคคลธรรมดาได้ก็ดี หรือถ้าไม่มีที่อยู่ถาวรของบุคคลธรรมดาอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐก็ดีให้ถือว่าบุคคลธรรมดานั้นเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาที่ตนมีที่อยู่เป็นปกติวิสัย

 

               (ค)          ถ้าบุคคลธรรมดามีที่อยู่เป็นปกติวิสัยในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ หรือไม่มีอยู่เลยในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ ให้ถือว่าเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาที่ตนเป็นคนชาติ

 

               (ง)          ถ้าบุคคลธรรมดาเป็นคนชาติของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ หรือมิได้เป็นคนชาติของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาพยายามแก้ไขปัญหาโดยความตกลงร่วมกัน

 

3.             ในกรณีที่ตามเหตุผลแห่งบทบัญญัติของวรรค 1 ของข้อนี้ บุคคลซึ่งมิใช่บุคคลธรรมดาเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐคู่สัญญาพยายามแก้ไขปัญหาโดยความตกลงร่วมกัน

 

 

ข้อ 5

สถานประกอบการถาวร

 

1.             เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งอนุสัญญานี้ คำว่า "สถานประกอบการถาวร" หมายถึง สถานธุรกิจประจำซึ่งวิสาหกิจใช้ประกอบธุรกิจทั้งหมดหรือแต่บางส่วน

 

2.             คำว่า "สถานประกอบการถาวร" โดยเฉพาะให้รวมถึง

 

               (ก)          สถานจัดการ

 

               (ข)          สาขา

 

               (ค)          สำนักงาน

 

               (ง)          โรงงาน

 

               (จ)          โรงช่าง

 

               (ฉ)          คลังสินค้า ในส่วนที่เกี่ยวกับบุคคลซึ่งจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกในการเก็บรักษาสินค้าสำหรับบุคคลอื่น

 

               (ช)          เหมืองแร่ บ่อน้ำมัน เหมืองหิน หรือสถานที่ที่มีการขุดทรัพยากรธรรมชาติอื่นใด

 

               (ซ)          ที่ตั้งอาคารหรือการก่อสร้าง หรือโครงการประกอบ ที่ดำรงอยู่นานกว่า 6 เดือน

 

3.             คำว่า "สถานประกอบการถาวร" มิให้ถือว่ารวมถึง

 

               (ก)          การใช้สิ่งอำนวยความสะดวกเพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการเก็บรักษา การจัดแสดง หรือส่งมอบของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจ

 

               (ข)          การเก็บรักษามูลภัณฑ์ของของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจนั้นไว้เพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการเก็บรักษา การจัดแสดงหรือส่งมอบ

 

               (ค)          การเก็บรักษามูลภัณฑ์ของของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจนั้นไว้เพียงเพื่อความมุ่งประสงค์แห่งการแปรรูปโดยอีกวิสาหกิจหนึ่ง

 

               (ง)          การมีสถานธุรกิจประจำไว้เพียงเพื่อความมุ่งประสงค์แห่งการจัดซื้อของหรือสินค้า หรือเพื่อรวบรวมข้อสนเทศให้กับวิสาหกิจนั้น

 

               (จ)          การมีสถานธุรกิจประจำไว้เพียงเพื่อความมุ่งประสงค์แห่งการโฆษณา เพื่อแจกจ่ายข้อสนเทศ เพื่อการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ หรือเพื่อกิจกรรมที่คล้ายคลึงกันอันมีลักษณะเป็นการเตรียมงานหรือเป็นส่วนประกอบให้กับวิสาหกิจนั้น

 

4.             ให้ถือว่าวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งมีสถานประกอบการถาวรในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งถ้าวิสาหกิจนั้นประกอบธุรกิจในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น ด้วยการให้บริการของนักแสดงสาธารณะ หรือนักกีฬา ดังที่ระบุไว้ในข้อ 18

 

5.             บุคคลผู้กระทำการในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งในนามของวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนอกจากนายหน้า ตัวแทนการค้าทั่วไป หรือตัวแทนอื่นๆ ที่มีสถานภาพเป็นอิสระซึ่งอยู่ในบังคับของวรรค (6) ให้ถือว่าเป็นสถานประกอบการถาวรของรัฐแรกแต่โดยมีเงื่อนไขว่า

 

               (ก)          บุคคลนั้นมีและใช้อย่างเป็นปกติวิสัยในรัฐแรกซึ่งอำนาจในการทำสัญญาในนามของวิสาหกิจนั้นเว้นไว้แต่ว่ากิจกรรมต่างๆ ของบุคคลนั้นจำกัดอยู่แต่เฉพาะเพียงการซื้อของหรือสินค้าเพื่อวิสาหกิจนั้น หรือ

 

(               ข)          บุคคลนั้นได้เก็บรักษาอย่างเป็นปกติวิสัยซึ่งมูลภัณฑ์ของของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจนั้นอยู่ในรัฐแรกนั้นและดำเนินการตามคำสั่งซื้อหรือส่งมอบในนามของวิสาหกิจนั้นอยู่เป็นประจำ หรือ

 

               (ค)          บุคคลนั้นจัดหาในรัฐแรกอย่างเป็นปกติวิสัยซึ่งคำสั่งซื้อเพื่อขายของหรือสินค้าจะเฉพาะ หรือเกือบเฉพาะ ในนามของวิสาหกิจนั้นเอง หรือในนามของวิสาหกิจนั้นและวิสาหกิจอื่นซึ่งอยู่ในความควบคุมของวิสาหกิจนั้นหรือซึ่งมีผลประโยชน์ควบคุมอยู่ในวิสาหกิจนั้น

 

6.             วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งจะไม่ถือว่ามีสถานประกอบการถาวรในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งเพียงเพราะว่าได้ประกอบธุรกิจในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น โดยผ่านทางนายหน้า ตัวแทนการค้าทั่วไป หรือตัวแทนอื่นใดที่มีสถานภาพเป็นอิสระ ถ้าบุคคลดังกล่าวได้กระทำตามทางอันเป็นปกติแห่งธุรกิจของตน เพื่อความมุ่งประสงค์นี้ตัวแทนหนึ่งใดจะไม่ถือว่าเป็นตัวแทนที่มีสถานภาพเป็นอิสระถ้าหากว่าตัวแทนนั้นกระทำการเป็นตัวแทนเฉพาะหรือเกือบเฉพาะเพื่อวิสาหกิจนั้นและดำเนินกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ระบุไว้ในวรรค (5) ของข้อนี้

 

7.             เพียงแต่ข้อเท็จจริงที่ว่า บริษัทหนึ่งซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งควบคุม หรืออยู่ในความควบคุมของบริษัทซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง หรือซึ่งประกอบธุรกิจในอีกรัฐหนึ่งนั้น (ไม่ว่าจะผ่านสถานประกอบการถาวรหรือไม่ก็ตาม) มิเป็นเหตุให้บริษัทหนึ่งบริษัทใดเป็นสถานประกอบการถาวรอีกบริษัทหนึ่ง

 

ปรับปรุงล่าสุด: 08-12-2011