คำพิพากษาฎีกาที่1669-1670/2545 | |
นางสมทรง จันทาภากุล | โจทก์ |
กรมสรรพากร | จำเลย |
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1 (3) ตาราง 1 ท้ายประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง คำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.11/2529 | |
ตารางที่ 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ข้อ (1) (ก) ระบุว่า "คำฟ้องนอกจากที่ระบุไว้ใน (ข) และ (ค) ต่อไปนี้ ให้เรียกโดยอัตราสองบาทห้าสิบสตางค์ต่อทุกหนึ่งร้อยบาท แต่ไม่ให้เกินสองแสนบาท" ดังนั้น การเสียค่าขึ้นศาลจึงต้องพิจารณาจากคำฟ้องเป็นเกณฑ์ มิได้พิจารณาเป็นรายคดีหรือรายสำนวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1 (3) ให้คำนิยามของคำฟ้องว่าหมายความว่า กระบวนพิจารณาใด ๆ ที่โจทก์ได้เสนอข้อหาต่อศาล ดังนั้น การเสนอข้อหาต่อศาลแต่ละข้อหาก็เป็น คำฟ้องแล้ว การเรียกค่าขึ้นศาลจึงต้องดูว่าคำฟ้องที่เสนอต่อศาลมีกี่ข้อหา แต่ละข้อหาแยกจากกันได้หรือไม่ หากแยกจากกันได้ก็ต้องเสียค่าขึ้นศาลเป็นรายข้อหาไป คดีนี้จำเลยอุทธรณ์เกี่ยวกับเบี้ยปรับของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาข้อหาหนึ่งกับเบี้ยปรับของภาษีการค้าอีกข้อหาหนึ่งแยกกันได้ที่ศาลภาษีอากรกลางให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลแยกเป็นรายข้อหาชอบแล้ว คำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.11/2529 เป็นระเบียบที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดให้ เจ้าพนักงานประเมินต้องถือปฏิบัติไม่มีผลผูกพันศาล การงดหรือลดเบี้ยปรับเป็นอำนาจของศาลที่จะพิจารณาว่าการที่เจ้าพนักงานประเมินงดหรือลดเบี้ยปรับมานั้นถูกต้องตามระเบียบหรือไม่ และศาลยังมีอำนาจที่จะงดหรือลดเบี้ยปรับได้เองในกรณีมีเหตุอื่นสมควรด้วย |