โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินและเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์กับขอให้งดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มทั้งหมดแก่โจทก์ จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้แก้ไขการประเมิน โดยมิให้นำรายรับจากสัญญาซื้อขายวัสดุอุปกรณ์ในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2532 และในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2533 มารวมคำนวณเป็นยอดรายรับในการประเมินภาษี และให้เพิกถอนการประเมินภาษีเงินได้ นิติบุคคลจากการจำหน่ายเงินกำไร คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า "
พิเคราะห์แล้ว เงินได้ของโจทก์เกิดจากสัญญาที่โจทก์ ณ ประเทศเบลเยี่ยมทำกับองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ซึ่งโจทก์ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับรายรับจากการขายวัสดุอุปกรณ์ตามความตกลงระหว่างราชอาณา จักรไทยกับเบลเยี่ยมเพื่อการเก็บภาษีซ้อน ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้และพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2505 และคดียุติตามคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางว่า การประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 71(1) สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2534 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการการพิจารณาอุทธรณ์สำหรับภาษีเงินได้นิติบุคคลรอบระยะเวลาบัญชีปีดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายแล้ว คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า รายได้จากค่าวัสดุอุปกรณ์ในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2532 และปี 2533 โจทก์จะต้องนำมาเป็นฐานในการคำนวณภาษีเงินได้ นิติบุคคลตามมาตรา 71(1) หรือไม่ ศาลเห็นว่า ตามสัญญาซื้อขายที่โจทก์ทำกับองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย โจทก์และองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยมีเจตนาแยกเป็นสัญญาซื้อขายวัสดุอุปกรณ์และสัญญาจ้างทำของในวันชี้สองสถานจำเลยก็ยอมรับว่าโจทก์ได้ทำสัญญาขายวัสดุอุปกรณ์และติดตั้งชุมสายโทรศัพท์กับวางสายสัญญาณเตือนภัยกับองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ซึ่งมีการแยกส่วนของสัญญาซื้อขายและสัญญาจ้างก่อสร้างกับติดตั้งออกจากกัน ในส่วนสัญญาซื้อขายถือไม่ได้ว่าเกิดจากการประกอบธุรกิจโดยผ่านสถานประกอบการถาวรของโจทก์ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศไทย เมื่อขณะทำสัญญาโจทก์ยังไม่มีสถานประกอบการถาวรตั้งอยู่ในประเทศไทย ดังนั้น รายได้จากค่าวัสดุอุปกรณ์โจทก์จึงได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีในประเทศไทย ตามความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยกับเบลเยี่ยม เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ และพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2505 โจทก์จึงไม่ต้องนำรายได้ค่าวัสดุอุปกรณ์ในปี 2532 และในปี 2533 มาเป็นฐานในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 71(1) สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2532 และปี 2533 ตามลำดับ ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยเป็นผู้นำเข้าอุปกรณ์จากประเทศเบลเยี่ยม แต่โจทก์นำค่าใช้จ่ายในการออกของและค่าภาษีศุลกากรมาเป็นค่าใช้จ่ายและองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยชำระ ค่าวัสดุอุปกรณ์ให้แก่บริษัท บ ประเทศเบลเยี่ยม โดยองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยหักภาษีเงินได้นิติบุคคล ณ ที่จ่ายและภาษีการค้าหัก ณ ที่จ่ายในนามของโจทก์จึงเห็นได้ว่าโจทก์ยอมรับว่าโจทก์มีรายได้จากการขายวัสดุอุปกรณ์และค่าบริการติดตั้ง โจทก์จึงต้องเสียภาษีเงินได้ นิติบุคคลตามที่เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินนั้น เห็นว่าเมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่ารายได้จากค่าวัสดุอุปกรณ์ได้รับการยกเว้นภาษีตามความตกลงระหว่างราชอาจักรไทยกับเบลเยี่ยมเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ อุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้ฟัง ไม่ขึ้น ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อต่อไปมีว่า การประเมินภาษีเงินได้ นิติบุคคลจากการจำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทยตามประมวลรัษฎากรมาตรา 70 ทวิ สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2532 ปี 2533 ปี 2534 ชอบหรือไม่ ในปัญหานี้เห็นควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า โจทก์จำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทยหรือไม่ โจทก์นำสืบว่า โจทก์มิได้จำหน่ายเงินกำไรหรือเงินประเภทอื่นใดที่กันไว้จากกำไรหรือที่ถือได้ว่าเป็นเงินกำไรออกไปจากประเทศไทย ส่วนจำเลยนำสืบว่าเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยประเมินภาษีโจทก์จากการจำหน่ายเงินกำไร เนื่องจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยชำระค่าอุปกรณ์โดยส่งเงินไปให้บริษัทโจทก์ในต่างประเทศโดยตรงแต่มีการหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ จึงถือว่าเป็นการจำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทย การประเมินภาษีใช้วิธีคำนวณย้อนกลับหายอดกำไรที่ส่งออกจำเลยไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับการจำหน่ายเงินกำไรดังกล่าว เห็นว่าศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ข้างต้นแล้วว่ารายได้ค่าวัสดุอุปกรณ์โจทก์ได้รับยกเว้นภาษีตามความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยกับเบลเยี่ยม เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ และจำเลยไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับการจำหน่ายเงินกำไรส่วนอื่นออกไปจากประเทศไทย การประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลจากการจำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทยตามมาตา 70 ทวิ สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าวจึงไม่ชอบอุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน |