เมนูปิด

คำพิพากษาฎีกาที่6837/2544 
พนักงานอัยการสำนักงานงานอัยการสูงสุดโจทก์

บริษัท สุวิพลวิศวกรรม จำกัด กับพวก

จำเลย
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลรัษฎากร มาตรา 90/5

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลรัษฎากร มาตรา 90/4(7) 86/13 77/1 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83 และริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 90/4(7) ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 200,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 7 ปี จำเลยที่ 2 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลรัษฎากรมาตรา 90/4(7) จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลรัษฎากรมาตรา 90/5 ลงโทษจำคุกจิเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาล ชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว จำเลยทั้งสองฎีกาเป็นทำนองว่าโจทก์มี หน้าที่นำสืบพิสูจน์ว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้กระทำความผิดแต่โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็น โจทก์มีนางศรีสุดา รามสูตร เจ้าหน้าที่ผู้ตรวจสอบการเสียภาษีของจำเลยที่ 1 และนายปรีชา พรสุนทรสวัสดิ์ นิติกรผู้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับกฎหมายภาษีสรรพากร สำนักงานสรรพากรภาค 1 เป็นพยานเบิกความยืนยันบัญชีรายชื่อนิติบุคคลที่ออกใบกำกับภาษีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายที่กรมสรรพากรได้รวบรวมไว้ ตามเอกสารหมาย จ.19 ซึ่งจำเลยทั้งสองได้นำใบกำกับภาษีของนิติบุคคลตามบัญชีดังกล่าว 11 รายจำนวน 119 ฉบับ มาใช้ในการเครดิตภาษีต่อกรมสรรพากรระหว่างเดือนมีนาคม 2538 ถึงเดือนพฤษภาคม 2540 และนางศรีสุดาได้แจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบเพื่อให้นำพยานหลักฐานมาปกป้องสิทธิแสดงว่าจำเลยทั้งสองกระทำโดยสุจริตแต่จำเลยทั้งสองไม่สามารถนำพานบุคคลหรือเอกสารใด ๆ มาแสดงให้เห็นว่าได้มีการซื้อขายสินค้ากันจริงตามใบกำกับภาษีเหล่านั้นเลย ทั้งนี้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลผู้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการ ซื้อขายสินค้าตามใบกำกับภาษีดังกล่าว ซึ่งสามารถพิสูจน์ถึงความจิรง ตามใบกำกับสินค้าได้โดยง่าย เพราะหากมีการซื้อขายสินค้ากันจริงพยานบุคคลและเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องย่อมต้องมีอยู่ที่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้ซื้อด้วย โดยเฉพาะการซื้อขายสินค้าตามใบกำกับภาษีที่ออกให้โดยห้างหุ้นส่วนจำกัด ปฐมพงษ์ค้าวัสดุ มีจำนวนถึง 31 ฉบับ ระยะเวลาการติดต่อซื้อขายกัน ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงเดือนธันวาคม 2538 นานถึง 10 เดือน เงินที่ชำระค่าสินค้ามีจำนวนสูงหาใช่เป็นการซื้อขายลักษณะรายย่อยประเภทครั้งคราว ที่มีจำนวนเงินเพียงเล็กน้อยแต่อย่างใด โจทก์ไม่จำต้องมีประจักษ์พยาน ผู้รู้เห็นโดยตรงถึงการทำเอกสารปลอมดังกล่าวนำมาสืบ แต่อย่างใดที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าไม่ทราบว่าใบกำกับภาษีดังกล่าวเป็นเอกสารปลอมด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานา ตามพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 ให้การต่อนางศรีสุดในชั้นต้นถึงการได้ใบกำกับภาษีมาตามเอกสารหมาย จ.24 ว่าผู้ขายสินค้าได้นำใบกำกับภาษีเห ล่านั้นปนมากับใบกำกับภาษีที่ถูกต้อง แตกต่างไปจากที่ให้การต่อร้อยตำรวจเอกศุภกิจ ศิริประเสริฐกุล พนักงานสอบสวนในชั้นสอบสวน ว่าได้มาจากผู้รับเหมาช่วงและไม่สอดคล้องกับที่จำเลยทั้งสองนำสืบในชั้นพิจารณาว่าได้มาจากผู้ขายที่มาเสนอขายสินค้าเป็นครั้งคราว เป็นข้อพิรุธอันส่อแสดงว่าจำเลยทั้งสองนำเอกสารใบกำกับภาษีตามเอกสารหมาย จ.3 ถึง จ.17 ไปใช้เครดิตภาษี โดยรู้อยู่ว่าเอกสาร ดังกล่าวเป็นเอกสารปลอมและเมื่อมีการกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการร่วมกระทำผิดอันจะต้องผิดรับตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 อยู่แล้ว กรณีจึงไม่ต้องอาศัยตามความในบทบัญญัติมาตรา 90/5 แห่ง ป.รัษฎากร ซึ่งเป็นบทสันนิษฐานให้กรรมการหรือผู้แทนนิติบุคคลต้องรับโทษนั้นด้วย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษ จำเลยที่ 2 โดยอาศัยบทบัญญัติมาตราจาก 90/5 จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษนั้น เห็นว่าการกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการทุจริตแสวงหาประโยชน์จากการคดโกงภาษีของรัฐ ซึ่งมีผลกระทบก่อให้เกิดความเสียหายแก่การทำนุบำรุงและการพัฒนาประเทศชาติ เป็นตัวอย่างไม่ดีที่สมควรกำราบปราบปรามมิให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตาม ป.รัษฎากร มาตรา 90/4 (7) ป.อาญา มาตรา 83 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

 

ปรับปรุงล่าสุด: 12-02-2021