กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลรัษฎากร มาตรา 22 67 ทวิ (1) 67 ตรี71ประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)พระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลภาษีอากร พิจารณาคดีภาษีอากรฯ มาตรา 2โจทก์ฟ้องว่า ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ภาษีอากรจำนวน 5,375,834.08 บาท และชำระเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือน หรือเศษของเดือน จากต้นเงินภาษีในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2538 และ 2539 จำนวน 3,041,880.70 บาท และ 163,753 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ไม่เกินจำนวนภาษีที่ค้างชำระ จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยโดยนายวัลลภ ไชยเสนา ในฐานะผู้ชำระบัญชีชำระเงินภาษีเงินได้นิติบุคคลอัตราร้อยละ 5 จากยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ของรอบระยะเวลาบัญชีปี 2538 จำนวนเงิน 60,837,605.45 บาท พร้อมเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีจำนวน โดยเริ่มนับเมื่อพ้นกำหนดเวลา 150 วันที่นับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีปี 2538 ของจำเลย แต่เงินเพิ่มที่คำนวณได้มิให้เกินจำนวนภาษีที่ต้องเสียหรือนำส่ง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า " ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประเด็นแรกมีว่า โจทก์มีสิทธิจะเรียกเก็บภาษีพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มจากยอดรายได้จากบัตรชดเชยภาษีจำนวน 3,275,059.95 บาท ในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2539 หรือไม่ เห็นว่าชื่อผู้ประกอบการค้าที่เป็นเจ้าของบัตรชดเชยภาษี เลขประจำตัวผู้เสียภาษีที่ปรากฏอยู่ตอนบนของรายการเป็นของจำเลยและมีรายละเอียดเลขบัตรชดเชยภาษีพร้อมยอดเงินตามบัตรชดเชยภาษี จึงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นเจ้าของบัตรชดเชยภาษี จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องนำเงินตามมูลค่าบัตรภาษีตามเอกสารดังกล่าวจำนวน 3,275,059.95 บาท มาคำนวณเสียภาษี แต่จำเลยไม่มาพบและไม่นำส่งบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีเมื่อได้รับหมายเรียกเพื่อตรวจสอบภาษี จำเลยจึงต้องรับผิดเสียภาษีในอัตราร้อยละ 5 ของยอดรายรับดังกล่าวก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ตามมาตรา 71(1) จำนวน 163,753 บาท และต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของจำนวนภาษีที่ต้องเสียจำนวนดังกล่าว นับแต่วันพ้นกำหนดและยื่นรายการสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2539 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่เงินเพิ่มดังกล่าวมิให้เกินจำนวนภาษีที่ต้องเสียจำนวนดังกล่าวตามมาตรา 22 แห่งประมวลรัษฎากรและเมื่อปรากฏว่าจำเลยแจ้งเลิกกิจการเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2540 ประกอบกับในรอบระยะเวลาบัญชีนี้จำเลยยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล ภ.ง.ด. 50 เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2540 จึงแสดงได้วาในรอบระยะเวลาบัญชีนี้ จำเลยประกอบกิจการเต็มทั้งรอบระยะเวลาบัญชี จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการประมาณการกำไรสุทธิและชำระภาษีกึ่งหนึ่งของประมาณการกำไรสุทธิตามแบบ ภ.ง.ด.51 สำหรับรอบระยะเวลาหกเดือน เมื่อปรากฏว่าจำเลยไม่ยื่นแบบดังกล่าวตามมาตรา 67 ทวิ (1) จำเลยจึงต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 20 ของจำนวนภาษีที่ต้องชำระตามมาตรา 67 ทวิ (1) ตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากรคิดเป็นเงินเพิ่มจำนวน 16,375.30 บาท ตามการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินแต่สำหรับกรณีเบี้ยปรับซึ่งเจ้าพนักงานประเมินประเมินให้จำเลยรับผิดตามมาตรา 26 แห่งประมวลรัษฎากร จำนวน 163,753 บาท นั้น เห็นว่า ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 67 ตรี ได้กำหนดบทลงโทษให้ผุ้เสียภาษีชำระเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 20 ไว้เป็นการเฉพาะแล้ว การที่เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินให้จำเลยชำระเบี้ยปรบจึงเป็นการซ้ำซ้อน การประเมินเบี้ยปรับในกรณีนี้จึงไม่ชอบ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระเบี้ยปรับจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ ปัญหานี้เป็นปัญหาว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินชอบด้วยกฎฆมายหรือไม่ อันเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยมิได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 29 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ดังนั้น ที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ต้องพิสูจน์ว่าจำเลยเป็นเจ้าของหรือผู้มีชื่อในบัตรอย่างแท้จริงและโจทก์ไม่มีเอกสารอื่นใดจากกรมศุลกากรแสดงว่าจำเลยเป็นเจ้าของบัตรจึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีรายได้จากบัตรชดเชยภาษีในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2539 จำนวน 3,279,059,95 บาท นั้น เห็นว่า โจทก์มีนางสาวนิศาชล สังข์แสตมป์ เจ้าหน้าที่เก็บเอกสารและแบบฟอร์มต่าง ของกรมสรรพากรและเอกสารที่ได้รับจากกรมศุลกากรซึ่งกรมศุลกากรจัดส่งข้อมูลให้โจทก์ 2 ประเภท คือประเภทไมโครฟิล์มและประเภทการออนไลน์ เป็นข้อมูลออนไลน์ซึ่งตนรับผิดชอบจัดทำเอกสารขึ้นมาและรับรองเอกสารดังกล่าว เมื่อเอกสาร ดังกล่าวมีรายละเอียดชื่อผู้ประกอบการ เลขประจำตัวผู้เสียภาษี เลขที่บัตรชดเชยภาษี จำนวนเงินภาษีจำนวนตามฟ้อง และจำเลยไม่โต้แย้งคัดค้าน จึงต้องฟังว่าจำเลยมีรายได้จากบัตร ชดเชยภาษีตามเอกสารดังกล่าว ส่วนที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่นำสืบตามฟ้องว่าจำเลยประกอบกิจการเต็มรอบระยะเวลาบัญชีหรือไม่ จำเลยมีรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชี ปี 2539 เท่าใด ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งรอบระยะเวลาบัญชีเมื่อใดนั้น เห็นว่า โจทก์นำสืบแล้วว่าจำเลยได้แจ้งเลิกประกอบกิจการเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2540 ยื่นแบบ ภ.พ. 09 วันที่ 26 กันยายน 2540 และทั้งยังได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ภ.ง.ด.50 ของรอบระยะเวลาบัญชีนี้ โดยมีผลขาดทุนสุทธิ 14,000 บาท จึงแสดงโดยชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยประกอบการในรอบระยะเวลาบัญชีนี้เต็มทั้งสองรอบระยะเวลาบัญชี เมื่อเจ้าพนักงานประเมินออกหมายเรียก จำเลยไม่มาพบและไม่นำส่งบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชี เจ้าพนักงานประเมินประเมินภาษีในอัตราร้อยละ 5 ของยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ตามมาตรา 71(1) แห่งประมวลรัษฎากร จากยอดรายรับ เมื่อโจทก์ประกอบกิจการเต็มทั้งรอบระยะเวลาบัญชี จำเลยมีหน้าที่จะต้องยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีสำหรับรอบระยะเวลาหกเดือนนั้น ประมวลรัษฎากรมาตรา 67 ทวิ ได้กำหนดหลักเกณฑ์และระยะเวลาการยื่นแบบแสดงรายการไว้ชัดแจ้งแล้ว โดยโจทก์ไม่ต้องนำสืบถึงระยะเวลาในการยื่นแบบแสดงรายการดังที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยมา ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประเด็นสุดท้ายมีย่า ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยโดยนายวัลลภ ไชยเสนา ในฐานะผู้ชำระบัญชี ชำระเงินค่าภาษีเงินได้ นิติบุคคลอัตราร้อยละ 5 จากยอดกำไรสุทธิของรอบระยะเวลาบัญชีปี 2538 ไม่ถูกต้อง เนื่องจากเจ้าพนักงานประเมินของโจทก์ประเมินภาษีในอัตราร้อยละ 5 ของยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายปด ๆ ตามมาตรา 71(1) แห่งประมวลรัษฎากร จึงขอให้ศาลฎีกาแก้ไขข้อความในคำพิพากษาจากร้อยละ 5 จากยอดกำไรสุทธิเป็นร้อยละ 5 ของยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายใด ๆ นั้น เห็นว่า ตามคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางมีข้อความเป็นไปตามที่โจทก์อุทธรณือยู่แล้ว จึงไม่ จำต้องวินิจฉัยในประเด็นนี้" พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระหนี้ค่าภาษีสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2539 เป็นค่าภาษีจำนวน 163,753 บาท เงินเพิ่มตามมาตรา 27 อัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีจำนวนดังกล่าวนับแต่เมื่อพ้นกำหนดเวลายื่นรายการสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่เงินเพิ่มที่คำนวณได้มิให้เกินจำนวนภาษีจำนวนดังกล่าว และเงินเพิ่มตามมาตรา 67 ตรี จำนวน 16,375.30 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง |