เมนูปิด

คำพิพากษาฎีกาที่750/2541 
บริษัท เอ อาร์ ดีเวล็อปเม้นท์ จำกัด โจทก์

นางชื่นฤดี เย็นใจประเสริญ

จำเลย
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง วิธีพิจารณาความแพ่ง รับฟังสำเนาเอกสาร (มาตรา 93(2)) ป. รัษฎากร (มาตรา 118)

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยพร้อมด้วยบริวาร ขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากตึกแถวเลขที่ 642/65, 642/66, 642/67 และ 642/69 และส่งมอบตึกแถวในสภาพเรียบร้อยแก่โจทก์ ให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 40,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่า จะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากตึกแถวและส่งมอบคืนแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยทำสัญญาเช่าตึกแถวตามฟ้องกับบริษัท นายเลิศ จำกัด มีกำหนด 30 ปี โดยจำเลยเป็นผู้ก่อสร้างสร้างตึกแถว พิพาทดังกล่าวด้วยตนเอง เสร็จแล้วมอบกรรมสิทธิ์ในตึกแถวให้บริษัท นายเลิศ จำกัด เจ้าของที่ดิน แต่ได้ตกลงจดทะเบียนสัญญาเช่ากันมี กำหนด 15 ปีก่อน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 27 มกราคม 2536 เมื่อ ครบกำหนดแล้ว บริษัทนายเลิศ จำกัด ให้คำมั่นไว้จะให้จำเลยเช่าต่อไป อีก 15 ปี นับแต่วันที่ 28 มกราคม 2536 เป็นต้นไปจนกว่าจะครบใน วันที่ 27 มกราคม 2551 โจทก์ทราบดีถึงสิทธิของจำเลยในอันที่จะเช่า ตึกแถวต่อไปจนครบ 30 ปี โจทก์ต้องรับสิทธิและหน้าที่ของบริษัท นายเลิศ จำกัดที่มีต่อจำเลยโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย สัญญาเช่า ที่ดิน ต่างตอบแทนกับสัญญาซื้อขายอาคารและสิ่งปลูกสร้างท้ายฟ้อง เป็นเอกสารที่มีการปลอมแปลงขึ้นทั้งหมด มิใช่เป็นต้นฉบับ เอาสาร ดังกล่าวรับฟังไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไป จากตึกแถวพิพาทเลขที่ 642/65, 642/66, 642/67 และ 642/69 ถนนเพชรบุรี แขวงถนนเพชรบุรี เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร ให้ จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 40,000 บาทนับแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2536 จนกว่าจะส่งมอบตึกแถวพิพาทแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยไม่นำส่งสำเนาให้แก่โจทก์ ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ถือว่าทิ้งอุทธรณ์ให้จำหน่ายคดี จำเลย ฎีกา ศาลฎีกา เห็นว่าจำเลยนำส่งตามคำสั่งศาลแล้วพิพากษายก คำพิพากษาศาลอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์และจำเลยมิได้โต้แย้งกัน ในชั้นฎีกาฟังได้ว่า จำเลยได้ก่อสร้างอาคารในที่ดินของบริษัทนายเลิศ จำกัด แล้วจดทะเบียนยกให้บริษัทนายเลิศจำกัด บริษัทนายเลิศ จำกัด ได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้จำเลยเช่าตึกแถวพิพาทเลขที่ 642/65, 642/66,642/67 และ 642/69 ถนนเพชรบุรี แขวงถนนเพชรบุรี เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร มีกำหนด 15 ปี นับแต่วันที่ 27 มกราคม 2521 ถึงวันที่ 27 มกราคม 2536 ตามสำเนาสัญญาเช่าตึกแถว เอกสาร หมาย ล.5 ต่อมาวันที่ 10 พฤศจิกายน 2531 โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าที่ ต่างตอบแทนกับบริษัทนายเลิศ จำกัด ตามสำเนาสัญญาเช่าที่ดินต่างตอบ แทนเอกสารหมาย จ.9 และทำสัญญาซื้อขายอาคารและสิ่งปลูกสร้างกับ บริษัทนายเลิศ จำกัด ตามสำเนาสัญญาซื้อขายอาคารและสิ่งปลูกสร้าง เอกสารหมาย จ.10 คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่าสำเนา สัญญาเช่าที่ดินต่างตอบแทนและสำเนาสัญญาซื้อขายอาคารและสิ่งปลูก สร้าง เอกสารหมาย จ.9 และ จ.10 ซึ่งไม่ปรากฏว่าต้นฉบับสัญญาทั้งสอง ฉบับดังกล่าวได้ปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร จึงรับฟังเป็นพยาน หลักฐานไม่ได้นั้น ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า โจทก์ส่งต้นฉบับสัญญาเช่าที่ดินต่างตอบแทนระหว่างบริษัทนายเลิศ จำกัด กับโจทก์ และต้นฉบับสัญญาซื้อขายอาคารและสิ่งปลูกสร้างระหว่างบริษัท นายเลิศ จำกัด กับโจทก์ ตามสำเนาเอกสารหมาย จ.9 และ จ.10 ไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อตรวจสอบการดำเนินการ เกี่ยวกับ กิจการและทรัพย์สินของบริษัทในเครือ โจทก์ไม่สามารถ นำต้นฉบับ สัญญาดังกล่าวส่งศาลชั้นต้น แต่ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเรียกเอกสาร ดังกล่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทยส่ง สำเนาเอกสารดังกล่าวตามเอกสารหมาย จ.9 และ จ.10 โดยรับรอง สำเนาถูกต้อง การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับฟัง สำเนาเอกสาร ดังกล่าวเท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์อนุญาตให้โจทก์นำสำเนา เอกสารหมาย จ.9 และ จ.10 มาสืบได้ตามประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2) นั้น ส่วนการรับฟัง สำเนาเอกสาร เป็นพยานหลักฐานแทนต้นฉบับเอกสารตามประมวล กฎหมายวิธี พิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2) นั้น มิใช่เป็นการรับ ฟังต้นฉบับ เอกสารเป็นพยานหลักฐานอันจะต้องปิดอากรแสตมป์ที่ต้นฉบับนั้น แต่อย่างใด ทั้งสำเนาเอกสารดังกล่าวก็มิใช่ต้นฉบับหรือคู่ฉบับหรือคู่ฉีก จึงไม่อยู่ในบังคับที่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร ดังนั้น สำเนาสัญญาเช่าที่ดินต่างตอบแทน และสำเนาสัญญาซื้อขายอาคารและ สิ่งปลูกสร้างเอกสารหมาย จ.9 และ จ.10 จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐาน ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟัง ไม่ขึ้น"

พิพากษายืน

(ยรรยง ปานุราช - ไพศาล รางชางกูร - พิธี อุปปาติก)

 

 

ปรับปรุงล่าสุด: 12-02-2021