เมนูปิด

คำพิพากษาฎีกาที่7819/2540 
บริษัทสวยสมพล เอ็นจิเนียริ่ง จำกัดโจทก์

กรมสรรพากร

จำเลย
เรื่อง หลีกเลี่ยงภาษี
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง วิธีพิจารณาความแพ่ง สิทธินำพยานหลักฐานมาสืบ (มาตรา 85), พ.ร.บ.จัดตั้งศาล

ภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรฯ (มาตรา17) ป.รัษฎากร (มาตรา 27 ทวิ)

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่า โจทก์ไม่ต้องเสียภาษี และเงินเพิ่มตามคำฟ้องทั้งหมด และให้งดเบี้ยปรับทั้งหมด ให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เกี่ยวกับภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีการค้าทั้งหมด
จำเลยให้การว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้แก้ไขการประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามฟ้อง โดยให้ปรับปรุงการคำนวณภาษี พร้อมเบี้ยปรับร้อยละ 50 ของเบี้ยปรับตามกฎหมายและเงินเพิ่ม สำหรับภาษีเงินได้นิติบุคคลของโจทก์รอบระยะเวลาบัญชีปี 2528 คำนวณจากกำไรสุทธิ 3,927,070.62 บาท และรอบระยะเวลาบัญชีปี 2529 คำนวณจากกำไรสุทธิ 2,524,179.06 บาทสำหรับภาษีการค้าของโจทก์ เดือนพฤศจิกายน 2528 คำนวณจากรายรับ 1,400,000 บาท และเดือนตุลาคม 2529 คำนวณจากรายรับ 804,885 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์ประกอบกิจการผลิตตู้เหล็กเก็บเอกสาร เครื่องเรือนสำนักงานเพื่อจำหน่ายและให้เช่าทรัพย์ เจ้าพนักงานประเมินเห็นว่าโจทก์ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีไว้ไม่ถูกต้อง เจ้าพนักงานประเมินได้มีหมายเรียกตรวจสอบภาษีอากรของโจทก์สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2528 และ 2529 ต่อมาเจ้าพนักงานประเมินได้มีหนังสือแจ้งการประเมินภาษีอากรเพิ่มเติมถึงโจทก์ โจทก์ไม่เห็นด้วยกับการประเมิน จึงได้อุทธรณ์การประเมินคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาแล้วมีคำวินิจฉัยว่าการประเมินชอบแล้ว แต่มีเหตุที่จะลดเบี้ยปรับให้ในอัตราร้อยละ 50ของเบี้ยปรับตามกฎหมาย...
จำเลยอุทธรณ์เกี่ยวกับรายการประเมินลำดับที่ 45 รายรับจากองค์การ ร.ส.พ.จำนวน 844,099 บาท นั้น เห็นว่า ตามเอกสารหมาย จ.3 หน้า 93 และ ล.3 แผ่นที่ 101 มีเลขใบสำคัญตรงกับหลักฐานขององค์การ ร.ส.พ. เอกสารหมาย ล.2 แผ่นที่ 43 และ ล.3 แผ่นที่ 73 ถึง 76 ถือว่าถูกต้องและโจทก์ลงบัญชีแล้วจึงฟังได้ว่าการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ในส่วนนี้ไม่ชอบ ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์นำหลักฐานเอกสารหมาย จ.3 มาแสดงในชั้นศาลโดยไม่ผ่านขั้นตอนของการตรวจสอบการประเมินและการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงไม่ควรรับฟังนั้นเห็นว่า ไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติสิทธิเช่นที่จำเลยว่า และในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 17 บัญญัติให้นำบทบัญญัติและข้อกำหนดตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ดังนั้น คู่ความย่อมมีสิทธิที่จะนำพยานหลักฐานใด ๆ มาสืบได้ ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหรือกฎหมายอื่นอันว่าด้วยการรับฟังพยานหลักฐานและการยื่นพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 85 เมื่อโจทก์ได้ยื่นพยานหลักฐานดังกล่าวถูกต้องตามข้อกำหนดภาษีอากรในชั้นพิจารณาแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานของโจทก์ประกอบการวินิจฉัยคดีได้...
ปัญหาสุดท้ายที่โจทก์อุทธรณ์ว่า มีเหตุควรลดเบี้ยปรับหรือไม่พิเคราะห์แล้วเห็นว่า กรณีนี้โจทก์ได้รับหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีการค้าจากพนักงานประเมินสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2528 และ 2529 ปรากฏว่า โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีทั้งเงินได้นิติบุคคลและภาษีการค้าแสดงยอดรายรับไว้ไม่ถูกต้องครบถ้วนและมีรายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา65 ทวิ (2) และ 65 ตรี (3) (9) แห่งประมวลรัษฎากร กล่าวคือโจทก์บันทึกบัญชีมียอดขายไม่ลงบัญชีและยอดรายรับขาดบัญชีเป็นจำนวนไม่น้อย โดยที่มีพยานหลักฐานตรวจสอบได้แน่ชัดอันเป็นพฤติการณ์ส่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีการที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ลดเบี้ยปรับให้โจทก์ คงเรียกเก็บในอัตราร้อยละ 50 ของเบี้ยปรับตามกฎหมายนับว่าเป็นคุณแก่โจทก์อยู่แล้ว จึงไม่มีเหตุอันควรที่จะลดเบี้ยปรับให้โจทก์อีก คำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของโจทก์และจำเลยฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน
(ณรงค์ศักดิ์ วิจิตรสาระวงศ์ - สันติ ทักราล - สุนทร สิทธิเวชวิจิตร)

 

ปรับปรุงล่าสุด: 07-02-2021