เมนูปิด

คำพิพากษาฎีกาที่7729/2540  
นายสาธิต สยามรัตนกิจโจทก์

กรมสรรพากร กับพวก

จำเลย
เรื่อง งดการขายทอดตลาดที่ดินในระหว่างพิจารณาคดี
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง วิธีพิจารณาความแพ่ง ขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณา (มาตรา 264),

ป.รัษฎากร (มาตรา 12)

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ที่ไม่อนุมัติให้โจทก์ขยายกำหนดเวลาการยื่นอุทธรณ์คัดค้านการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้า และขอให้มีคำสั่งขยายระยะเวลาการยื่นอุทธรณ์ให้แก่โจทก์พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้คุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาในกรณีฉุกเฉิน ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง ต่อมาโจทก์จึงยื่นคำร้องขอให้คุ้มครองประโยชน์ระหว่างพิจารณา ความว่า จำเลยที่ 1ได้ยึดทรัพย์คือที่ดินของโจทก์รวม 22 โฉนด และได้ขายทอดตลาดไปแล้ว 5 โฉนด ทั้งกำลังจะขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวที่เหลือต่อไปทำให้โจทก์เสียหาย จึงขอให้เพิกถอนการยึดหรือให้จำเลยที่ 1 งดการขายทอดตลาดที่ดินของโจทก์ไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด
ศาลภาษีอากรกลางไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้งดการขายทอดตลาดที่ดินของโจทก์จำนวน 17 แปลงที่เหลือไว้ในระหว่างพิจารณาและมีหนังสือแจ้งคำสั่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานีทราบ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกคำร้องของโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์มีว่า มีเหตุตามกฎหมายให้โจทก์ขอให้ศาลใช้วิธีคุ้มครองให้งดขายทอดตลาดที่ดินส่วนที่เหลือที่ถูกนายอำเภอยึดตามฟ้องในระหว่างพิจารณาคดีได้หรือไม่ ซึ่งเมื่อได้พิจารณาหนังสือตามที่โจทก์ขออนุมัติขยายเวลายื่นอุทธรณ์ต่อจำเลยที่ 1 และคำขออุทธรณ์ประเมินภาษีอากรของโจทก์ที่ยื่นต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 11 และ 12 ประกอบข้อเท็จจริงข้างต้นแล้วได้ความเพียงว่า โจทก์ไม่มีเจตนาหลบหลีกการรับใบแจ้งภาษีอากรการประเมินของเจ้าพนักงานจำเลยที่ 1 และไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงชำระภาษีอากรเท่านั้น มิได้ปฏิเสธค่าภาษีอากรตามที่เจ้าพนักงานจำเลยที่ 1 ประเมินที่ได้แจ้งให้โจทก์ชำระว่ายังไม่ถึงกำหนดแต่อย่างใด เมื่อโจทก์มิได้ปฏิเสธในเหตุนี้แสดงให้เห็นว่าโจทก์รับว่าได้ค้างชำระค่าภาษีอากรที่ถึงกำหนดชำระแก่จำเลยที่ 1 แล้วจริง แต่จะถูกต้องตามที่เจ้าพนักงานจำเลยที่ 1 ประเมินหรือไม่เป็นอีกเรื่อง ซึ่งในเหตุนี้ประมวลรัษฎากร มาตรา 12 ได้บัญญัติว่า "ภาษีอากรที่ต้องเสียหรือนำส่งตามลักษณะนี้ เมื่อถึงกำหนดชำระแล้วถ้ามิได้เสียหรือนำส่งให้ถือเป็นภาษีอากรค้าง
เพื่อให้ได้รับชำระภาษีอากรค้าง ให้อธิบดีมีอำนาจสั่งยึดหรืออายัดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรได้ทั่วราชอาณาจักรโดยมิต้องขอให้ศาลออกหมายยึดหรือสั่ง อำนาจดังกล่าวอธิบดีจะมอบให้รองอธิบดีหรือสรรพากรเขตก็ได้
ในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานครให้ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายอำเภอมีอำนาจเช่นเดียวกับอธิบดีตามวรรคสองภายในเขตท้องที่จังหวัดหรืออำเภอนั้น แต่สำหรับนายอำเภอนั้นจะใช้อำนาจสั่งขายทอดตลาดได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัด
วิธีการยึดและขายทอดตลาดทรัพย์สินให้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยอนุโลม ส่วนวิธีการอายัดให้ปฏิบัติตามระเบียบที่อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรี..." ซึ่งเห็นได้ว่านายอำเภอในท้องที่นี่ได้ใช้อำนาจตามประมวลรัษฎากรดังกล่าวข้างต้นสั่งยึดทรัพย์สินที่ดินของโจทก์ โดยมิต้องขอให้ศาลออกหมายยึดหรือสั่งได้โดยชอบด้วยกฎหมาย และไม่มีบทบัญญัติกฎหมายใดให้อำนาจในเหตุที่ว่านี้มีสิทธิขอให้ศาลใช้วิธีคุ้มครองโดยให้งดการบังคับคดีของจำเลยที่ 1 ในระหว่างขอขยายเวลาอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือในระหว่างพิจารณาคดีของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 แต่อย่างใด ดังนั้น การขายทอดตลาดที่ดินของโจทก์ส่วนที่เหลือตามที่นายอำเภอสั่งยึดตามฟ้อง ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12จึงอยู่ในดุลพินิจของนายอำเภอ เพียงแต่นายอำเภอจะต้องระมัดระวังใช้อำนาจมิให้ขัดกับคำสั่งของอธิบดีกรมสรรพากรซึ่งจะมีมาในภายหลังเท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำร้องโจทก์มานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน
(สุชาติ ถาวรวงษ์ - ยงยุทธ ธารีสาร - สันติ ทักราล)

 

ปรับปรุงล่าสุด: 07-02-2021