โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ จำเลยให้การว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้แก้ไขการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เฉพาะเบี้ยปรับ โดยให้โจทก์รับผิดเสียเบี้ยปรับเป็นเงินจำนวน 13,999.92 บาท คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยกฟ้อง จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า " ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ใบกำกับภาษีจำนวน 23 ฉบับ ตามเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 47 ถึง 70 ซึ่งโจทก์นำภาษีมูลค่าเพิ่มตามใบกำกับภาษีดังกล่าวมาเป็นภาษีซื้อคำนวณหักออกจากภาษีขายในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับเดือนพฤศจิกายน 2538 เป็นใบกำกับภาษีปลอมมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่าศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยให้โจทก์เสียเบี้ยปรับสองเท่าของจำนวนภาษีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89 (7) เพียงอนุมาตราเดียวชอบหรือไม่เห็นว่า การที่โจทก์นำภาษีมูลค่าเพิ่มตามใบกำกับภาษีปลอมมาเป็นภาษีซื้อ คำนวณหักออกจากภาษีขายในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเข้าลักษณะความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89 (7) นั้นย่อมเป็นการยื่นแบบแสดงรายการไม่ถูกต้องและแสดงภาษีซื้อเกินไปอันเข้าลักษณะความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89 (3) และ (4) อยู่ด้วยในตัว แต่เมื่อมาตรา 89 (7) กำหนดให้เสียเบี้ยปรับ2 เท่า ย่อมเห็นได้ว่ามุ่งหมายจะลงโทษปรับให้สูงขึ้นโดยให้รับผิดตามมาตรา 89 (7) เพียงอนุมาตราเดียว หาได้มุ่งหมายให้ปรับทุกอนุมาตรารวมกันไม่ โจทก์จึงหาต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับตามมาตรา89 (3) และ (4) อีกด้วยไม่ ดังนั้นที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยให้โจทก์เสียเบี้ยปรับสองเท่าของจำนวนภาษีตามมาตรา 89 (7)เพียงอนุมาตราเดียวจึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลาง อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น" พิพากษายืน (พิศาล พิริยะสถิต - สันติ ทักราล - สุชาติ ถาวรวงษ์) |