คำพิพากษาฎีกาที่2518/2540 | |
บริษัท เอ.จี.ยูเนี่ยน จำกัด | โจทก์ |
กรมสรรพากร กับพวก | จำเลย |
เรื่อง เพิกถอนหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม | |
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลรัษฎากร มาตรา 30, 89 (4) | |
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม แบบ ภ.พ.73.1 เลขที่ 1070/5/100405 ถึงเลขที่ 1070/5/100408 ลงวันที่ 4 มีนาคม 2536 รวม 4 ฉบับ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เลขที่ 282 ก./2537, 282 ข./2537,282 ค./2537 และ 282 ง./2537 เสีย หากพิจารณาว่าโจทก์กระทำผิด ก็ขอให้งดเบี้ยปรับด้วย จำเลยทั้งสี่ให้การว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายแล้ว ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มเลขที่ 1070/5/100405, 1070/5/100406, 1070/5/100407 และ 1070/5/100408 ลงวันที่ 4 มีนาคม 2536 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เลขที่ 282 ก./2537, 282 ข./2537, 282 ค./2537 และ 282 ง./2537 จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ประการแรกว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ที่จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่บรรยายให้ชัดแจ้งว่า การประเมินของเจ้าพนักงานไม่ชอบอย่างไรและไม่ชอบด้วยกฎหมายใดคำวินิจฉัยอุทธรณ์ไม่ชอบอย่างไรจึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมนั้น เห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่า เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 แจ้งการประเมินให้โจทก์เสียเบี้ยปรับตามมาตรา 89 (4) แห่งประมวลรัษฎากรโจทก์ไม่เห็นด้วยกับการประเมินดังกล่าว จึงอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้ลดเบี้ยปรับที่เรียกเก็บสำหรับเดือนมกราคม 2535 เดือนกุมภาพันธ์ 2535 เดือนเมษายน 2535 และเดือนพฤษภาคม 2535 ลงเป็นเงิน 41,300 บาท, 21,162.76 บาท, 22,845.58 บาท และ 53,377.68 บาท ตามลำดับ โจทก์เห็นว่า การประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มของจำเลยที่ 1 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยเหตุผลและกฎหมาย เพราะโจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีพร้อมใบกำกับภาษีไว้ถูกต้องชัดเจนแล้ว ขอให้เพิกถอนการประเมินของจำเลยที่ 1 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ หากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำของโจทก์ผิดต่อมาตรา 89 (4) แห่งประมวลรัษฎากร ขอศาลงดเบี้ยปรับแก่โจทก์ด้วย ฟ้องโจทก์บรรยายแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ส่วนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยเหตุผลและกฎหมายใด เป็นข้อเท็จจริงที่อาจนำสืบในชั้นพิจารณาฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุมมีปัญหาต่อไปว่า ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยให้งดเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 89 แห่งประมวลรัษฎากรสำหรับภาษีเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ เมษายน และพฤษภาคม 2535 ทีเรียกเก็บจากโจทก์ทั้งหมดถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่าใบกำกับภาษีซื้อที่โจทก์ขอคืนภาษีเป็นใบกำกับภาษีซื้อของเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ เมษายน และพฤษภาคม 2535 ซึ่งเป็นใบกำกับภาษีซื้อที่แท้จริง โจทก์ชำระภาษีซื้อไป ตามใบกำกับภาษีดังกล่าวจริง แต่ใบกำกับภาษีซื้อดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นใบกำกับภาษีซื้อสำหรับการก่อสร้างอาคารของโจทก์ซึ่งกำลังก่อสร้างเพื่อให้เช่าเป็นสำนักงานและใช้ส่วนหนึ่งเป็นสำนักงานของโจทก์ในการประกอบกิจการของโจทก์ ซึ่งโจทก์มีสิทธิขอคืนภาษีซื้อที่เกิดจากการก่อสร้างอาคารเพื่อใช้ในการประกอบกิจการของตนเองเฉพาะส่วนที่ใช้เป็นสำนักงานของโจทก์เท่านั้น แต่โจทก์ต้องปฏิบัติตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 29 ) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการเฉลี่ยภาษีซื้อ ตามมาตรา 82/6 แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 9 มีนาคม 2535 ซึ่งใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2535 จะเห็นได้ว่าภาษีซื้อที่โจทก์ขอคืนและได้รับคืนไปแล้วคือภาษีเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2535 ซึ่งเป็นเดือนแรกและเดือนที่สองของประกาศใช้ภาษีมูลค่าเพิ่ม กล่าวคือเริ่มใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2535 ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 30 ) พ.ศ. 2534 ส่วนหลักเกณฑ์การเฉลี่ยภาษีซื้อสำหรับการก่อสร้างอาคารตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรฉบับดังกล่าวแม้จะใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2535ก็ตาม แต่เพิ่งประกาศในวันที่ 9 มีนาคม 2535 หลังจากที่โจทก์ขอคืนและรับภาษีซื้อเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2535 ไปแล้ว ที่โจทก์อ้างในคำฟ้องว่าโจทก์ไม่เข้าใจหลักเกณฑ์การขอคืนภาษีซื้อและเข้าใจโดยสุจริตว่า โจทก์มีสิทธิขอคืนภาษีซื้อได้ นางสาวพัทยา ประเสริฐสุขสกุล ผู้ตรวจสอบภาษีและนายวิบูลย์ ชัยชนะศิริวิทยา ผู้พิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์ซึ่งเป็นพยานฝ่ายจำเลยต่างก็มีความเห็นว่า โจทก์ไม่จงใจกระทำความผิดและไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีและต่างมีความเห็นว่า ควรลดเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ เมื่อคำนึงว่าภาษีที่โจทก์ขอคืนเป็นเดือนแรกและเดือนที่สองที่ประกาศใช้ภาษีมูลค่าและเมื่อโจทก์ถูกทักท้วงว่าโจทก์ไม่มีสิทธิขอคืนภาษีดังกล่าว โจทก์คืนภาษีในส่วนที่รับคืนไปแล้วโดยมิได้อิดเอื้อน และเกี่ยงงอน กรณีน่าเชื่อว่าโจทก์เชื่อโดยสุจริตว่า โจทก์มีสิทธิขอคืนภาษีซื้อตามฟ้องได้จึงสมควรงดเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่มที่เรียกเก็บจากโจทก์ทั้งหมด ที่จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ว่าการงดหรือลดเบี้ยปรับแก่โจทก์เป็นอำนาจของเจ้าพนักงานจำเลยซึ่งเป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร ไม่มีบทบัญญัติตามประมวลรัษฎากรให้อำนาจศาลลดหรืองดเบี้ยปรับได้นั้น เห็นว่า ประมวลรัษฎากร มาตรา 30 (2) บัญญัติว่า "เว้นแต่กรณีห้ามอุทธรณ์ตามมาตรา 33 ให้อุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลภายในกำหนดเวลาสามสิบวัน นับแต่วันได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์" กรณีของโจทก์ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลตามบทกฎหมายดังกล่าว หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งโจทก์มีสิทธิฟ้องต่อศาลเพื่ออุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เมื่อบทบัญญัติตามประมวลรัษฎากรดังกล่าวให้โจทก์มีสิทธิฟ้องต่อศาล เมื่อโจทก์ไม่พอใจคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ย่อมเข้าใจได้แล้วว่าศาลมีอำนาจในการพิจารณาว่า คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เหมาะสมและชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ หากแปลความว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องต่อศาลได้ แต่ห้ามศาลใช้ดุลพินิจพิจารณาคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการการพิจารณาอุทธรณ์ว่า เหมาะสมและชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ดังอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่แล้ว การฟ้องคดีของโจทก์ย่อมไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดศาลภาษีอากรกลางพิพากษาชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น" พิพากษายืน (พิศาล พิริยะสถิต - ยงยุทธ ธารีสาร - เหล็ก ไทรวิจิตร) |