เมนูปิด

คำพิพากษาฎีกาที่ 1533/2540 
บริษัทเครดิตฟองซิเอร์เอเซีย จำกัดโจทก์

บริษัทภูเก็ตไอแลนด์ จำกัด (มหาชน)

จำเลย
เรื่อง สิทธิอุทธรณ์การประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลรัษฎากร มาตรา 3, 40, 50

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ยื่นหนังสือขอขยายระยะเวลายื่นคำอุทธรณ์ต่อจำเลยแต่จำเลยมีคำสั่งไม่อนุมัติ โจทก์จึงฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวและให้จำเลยรับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป

จำเลยให้การว่า คำสั่งไม่อนุมัติชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง

ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยและให้จำเลยรับคำอุทธรณ์ของโจทก์ไว้ดำเนินการต่อไป

จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยในข้อแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขอเพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมสรรพากรที่ไม่อนุมัติให้ขยายกำหนดเวลาการยื่นคำอุทธรณ์แก่โจทก์นั้นได้หรือไม่ เห็นว่า การอุทธรณ์การประเมินภาษีอากรเป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่ประมวลรัษฎากร มาตรา 30 บัญญัติไว้ให้สิทธิแก่ผู้รับการประเมินที่จะอุทธรณ์การประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน ซึ่งมีสำนักงานอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้ เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยแล้ว ผู้รับการประเมินก็มีสิทธิที่จะอุทธรณ์ต่อศาลได้อีกภายในกำหนด 30 วัน นับแต่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ซึ่งคดีอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ดังกล่าวนั้น ศาลภาษีอากรกลางมีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 7 (1) แต่ผู้รับการประเมินจะนำคดีมาฟ้องต่อศาลภาษีอากรได้ก็ต่อเมื่อได้มีการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์วิธีการและระยะเวลาที่กำหนดไว้เช่นว่านั้นและได้มีการวินิจฉัยชี้ขาดคำคัดค้านและคำอุทธรณ์นั้นเสร็จแล้ว ดังที่มาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 บัญญัติไว้ สำหรับกรณีที่ผู้รับการประเมินมีเหตุจำเป็นจนไม่สามารถจะปฏิบัติตามกำหนดเวลาในการอุทธรณ์ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 30 แห่งประมวลรัษฎากรได้นั้น มาตรา 3 อัฏฐ ก็ได้บัญญัติว่า เมื่ออธิบดี (กรมสรรพากร) พิจารณาเห็นเป็นการสมควรจะให้ขยายหรือเลื่อนกำหนดเวลาออกไปอีกตามความจำเป็นแก่กรณีก็ได้ วิธีการดังกล่าวนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่ผู้รับการประเมินจะต้องปฏิบัติโดยถูกต้องเพื่อการที่จะได้รับการพิจารณาและพิพากษาคดีจากศาลภาษีอากรกลางได้ ดังนั้น กรณีที่ผู้รับการประเมินมีเหตุจำเป็นจนไม่สามารถจะปฏิบัติตามกำหนดเวลาการอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้ ย่อมมีสิทธิที่จะขอให้อธิบดีกรมสรรพากรอนุมัติให้ขยายหรือเลื่อนกำหนดเวลาในการยื่นคำอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ออกไปได้ หากอธิบดีกรมสรรพากรพิจารณาแล้วเห็นว่าผู้รับการประเมินมีเหตุจำเป็นจนไม่สามารถจะปฏิบัติตามกำหนดเวลาการอุทธรณ์การประเมินได้ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30 แต่กลับสั่งไม่อนุมัติให้ขยายหรือเลื่อนกำหนดเวลาออกไปแก่ผู้รับการประเมินตามความจำเป็นแก่กรณีเป็นการขัดขวางมิให้ผู้รับการประเมินได้รับสิทธิในการพิจารณาอุทธรณ์จากคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และสิทธิในการอุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลได้ ย่อมเห็นได้ว่าคำสั่งของอธิบดีกรมสรรพากรดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้รับการประเมินจึงมีสิทธิที่จะฟ้องขอให้ศาลภาษีอากรกลางเพิกถอนคำสั่งอันไม่ชอบด้วยกฎหมายของอธิบดีกรมสรรพากรดังกล่าวได้ เพื่อให้ศาลภาษีอากรกลางแก้ไขคำสั่งของอธิบดีกรมสรรพากรเสียใหม่ให้ถูกต้องตามเจตนารมณ์ของประมวลรัษฎากร มาตรา 3 อัฏฐ ต่อไป โดยถือว่าคำสั่งของอธิบดีกรมสรรพากรดังกล่าวเป็นคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานตามกฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร มิฉะนั้นผู้รับการประเมินย่อมไม่มีทางที่จะได้รับสิทธิตามที่ประมวลรัษฎากร มาตรา 3 อัฏฐ และมาตรา 30บัญญัติไว้นั้นได้ ดังนั้น ที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขอเพิกถอนคำสั่งไม่อนุมัติให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์แก่โจทก์ได้นั้น ศาลฎีกาจึงเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาในข้อที่สองมีว่า คำสั่งของอธิบดีกรมสรรพากรที่ไม่อนุมัติให้ขยายกำหนดเวลาการยื่นคำอุทธรณ์แก่โจทก์ชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้วหรือไม่ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติโดยให้จำเลยมิได้โต้แย้งกันแล้วนั้นว่า เจ้าพนักงานประเมินส่งหนังสือแจ้งการประเมินแก่โจทก์ทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ได้นำหนังสือดังกล่าวไปส่งแก่โจทก์ ณ สำนักงานของโจทก์เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2536 พนักงานของโจทก์ซึ่งทำหน้าที่เป็นเวรยามรักษาการณ์ได้ลงลายมือชื่อในใบไปรษณีย์ตอบรับในการรับหนังสือแจ้งการประเมินนั้นไว้ซึ่งวันที่ 6 ธันวาคม 2536 นั้นเป็นวันหยุดทำการของโจทก์ ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยเอกสารหมาย จ.2 เนื่องจากเป็นวันหยุดชดเชยวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โจทก์ได้รับหนังสือแจ้งการประเมินตามความเป็นจริงในวันที่ 7 ธันวาคม 2536 จึงได้ยื่นคำอุทธรณ์การประเมินในวันที่ 6มกราคม 2537 เจ้าหน้าที่ของจำเลยได้รับคำอุทธรณ์ของโจทก์นั้นไว้ ต่อมาโจทก์ทราบจากเจ้าหน้าที่ของจำเลยว่าคำอุทธรณ์ของโจทก์ที่ยื่นไว้เกินกำหนด 30 วันตามที่ประมวลรัษฎากร มาตรา 30 บัญญัติไว้ไป 1 วัน โจทก์จึงได้ยื่นคำร้องต่ออธิบดีกรมสรรพากรเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2537 ขอให้อธิบดีกรมสรรพากรอนุมัติให้ขยายกำหนดเวลาการยื่นคำอุทธรณ์แก่โจทก์ออกไป อธิบดีกรมสรรพากรพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่ากรณียังไม่มีเหตุจำเป็นอันสมควร จึงไม่อนุมัติให้ขยายกำหนดเวลาการยื่นคำอุทธรณ์ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า ข้อเท็จจริงฟังได้หรือไม่ว่าโจทก์มีเหตุจำเป็นจนไม่สามารถจะปฏิบัติตามกำหนดเวลาการยื่นคำอุทธรณ์ที่ประมวลรัษฎากร มาตรา 30 บัญญัติไว้ ข้อเท็จจริงปรากฏตามคำเบิกความของนายทศพลรัตนวิจิตร พยานโจทก์ว่า โจทก์มอบอำนาจให้นายทศพลยื่นคำอุทธรณ์เมื่อวันที่3 มกราคม 2537 นายทศพลเคยทำคำอุทธรณ์เสร็จพร้อมที่จะยื่นได้ก่อนวันที่ 6 มกราคม 2537 นายทศพลเคยนำคำอุทธรณ์ไปยื่นต่อเจ้าหน้าที่ของจำเลยเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2537 แต่ผลสุดท้ายนายทศพลได้ขอคำอุทธรณ์นั้นคืนมาจากเจ้าหน้าที่เสีย เนื่องจากมีเหตุขัดข้องเกี่ยวกับหนังสือค้ำประกันการขอทุเลาการเสียภาษีอากร ซึ่งจะต้องแก้ไขเสียก่อน ผลก็คือโจทก์มิได้ยื่นคำอุทธรณ์ในวันที่ 3 มกราคม 2537 สำหรับการยื่นคำอุทธรณ์นั้นสามารถทำได้โดยไม่ต้องยื่นคำร้องขอทุเลาการเสียภาษีอากรพร้อมกันด้วย ดังที่นายทศพลยื่นคำอุทธรณ์ในวันที่ 6 มกราคม 2537 ก็ไม่ได้ยื่นคำร้องขอทุเลาการเสียภาษีอากรด้วยแต่อย่างใด ดังนี้ย่อมเห็นได้ว่า โจทก์สามารถที่จะยื่นคำอุทธรณ์ภายในวันที่ 5 มกราคม 2537 อันเป็นการปฏิบัติตามกำหนดเวลาการอุทธรณ์ที่ประมวลรัษฎากร มาตรา 30 บัญญัติไว้ได้ กรณีหาใช่โจทก์มีเหตุจำเป็นจนไม่สามารถปฏิบัติตามกำหนดเวลาการอุทธรณ์ที่ประมวลรัษฎากร มาตรา 30บัญญัติไว้ไม่ ดังนั้น การที่อธิบดีกรมสรรพากรปรับข้อเท็จจริงว่า โจทก์ไม่มีเหตุจำเป็นอันสมควร จึงไม่อนุมัติให้ขยายกำหนดเวลาการยื่นคำอุทธรณ์ จึงเป็นการชอบด้วยข้อเท็จจริงดังกล่าวและชอบด้วยข้อกฎหมายตามบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร มาตรา 3 อัฏฐ แล้ว คำสั่งของอธิบดีกรมสรรพากรจึงชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีเหตุที่โจทก์จะมาฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวเสียได้ ที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า โจทก์เข้าใจผิดในข้อกฎหมายว่าสามารถยื่นคำอุทธรณ์ได้ถึงวันที่ 6 มกราคม 2537 ทั้งโจทก์ยื่นเกินกำหนดเพียง 1 วัน ไม่มีเจตนาที่จะไม่ปฏิบัติตามกำหนดระยะเวลายื่นคำอุทธรณ์จึงมีเหตุอันสมควรที่จะอนุมัติให้ขยายเวลายื่นคำอุทธรณ์ได้ คำสั่งของอธิบดีกรมสรรพากรที่ไม่อนุมัติให้ขยายระยะเวลายื่นคำอุทธรณ์จึงไม่ถูกต้อง สมควรที่จะเพิกถอนและให้จำเลยรับคำอุทธรณ์ของโจทก์ไว้ดำเนินการต่อไปนั้น จึงไม่ต้องด้วยความเห็นศาลฎีกาอุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้ฟังขึ้น"

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

(สุนพ กีรติยุติ - สมพงษ์ สนธิเณร - จำลอง สุขศิริ)

 

ปรับปรุงล่าสุด: 07-02-2021