เมนูปิด

คำพิพากษาฎีกาที่838/2540 
บริษัทรุ่งเรืองประชา จำกัดโจทก์

กรมสรรพากร กับพวก

จำเลย
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ป.รัษฎากร (มาตรา 77/1, 80/1, 81, 83/4, 89, 89/1)

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม 2537 โจทก์ส่งสินค้าประเภทเซรามิคไปจำหน่ายต่างประเทศ 3 ครั้ง ราคารวมทั้งสิ้น 1,117,558.22 บาท ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยระบุยอดขายที่เสียภาษีขาดไป1,000,000 บาท เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 จึงได้ทำการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มใหม่ เป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสียภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มเป็นเงินรวม107,112 บาท โจทก์ไม่เห็นด้วย จึงอุทธรณ์คัดค้านการประเมิน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์โจทก์ โจทก์ไม่เห็นด้วยกล่าวคือ สินค้าของโจทก์ได้รับการยกเว้นอากรตามประมวลกฎหมายรัษฎากร แม้โจทก์กรอกรายการภาษีมูลค่าเพิ่มยอดขายขาดไป โจทก์ก็ไม่ต้องเสียภาษีในส่วนที่ขาดนี้ ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการ

จำเลยทั้งสี่ให้การว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง

ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะ-กรรมการพิจารณาอุทธรณ์

จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามที่โจทก์และจำเลยทั้งสี่แถลงรับข้อเท็จจริงกันว่า เมื่อวันที่ 4, 23 และ 25 พฤษภาคม2537 โจทก์ส่งสินค้าประเภทเซรามิคไปขายที่ประเทศมาเลเซีย 2 ครั้ง และประเทศอินโดนีเซีย 1 ครั้ง เป็นมูลค่า 423,681 บาท 272,029.22 บาท และ421,848 บาท โจทก์ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) ตามประมวลรัษฎากรว่า เดือนพฤษภาคม ปี 2537 มียอดขายที่ต้องเสียภาษีจำนวน 175,000 บาท ยอดภาษีซื้อที่มีสิทธินำมาหักจำนวน 161,748.33 บาท ภาษีสุทธิที่ต้องชำระเป็นเงิน 927.62 บาท ต่อมาวันที่ 8 สิงหาคม 2537 จำเลยที่ 1 ได้ประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.73) ให้โจทก์ชำระเงินภาษีจำนวน 107,112 บาท โดยอ้างว่าโจทก์ระบุยอดขายที่เสียภาษีขาดหายไป 1,000,000 บาท โจทก์ได้อุทธรณ์คัดค้านไปยังคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ว่า คำวินิจฉัยของศาลภาษีอากรกลางซึ่งวินิจฉัยว่า กรณีของโจทก์ไม่อยู่ในบังคับมาตรา 83/4 แห่งประมวลรัษฎากรบัญญัติว่า "ภายใต้บังคับส่วน 13 และส่วน 14 ในกรณีที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนยื่นแบบแสดงรายการภาษีไม่ถูกต้องครบถ้วน ไม่ว่าการคลาดเคลื่อนนั้นจะเป็นเหตุให้จำนวนภาษีในเดือนภาษีเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ก็ตาม ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนยื่นแบบแสดงรายการภาษีเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับชำระภาษีถ้ามี ให้ถูกต้องครบถ้วน โดยยื่น ณ สถานที่ที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีไว้ก่อน" เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าโจทก์กรอกรายการยอดขายที่ต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ 0 ขาดไป 1,000,000 บาท จริง จึงเป็นกรณีที่โจทก์ในฐานะผู้ประกอบการจดทะเบียนยื่นแบบแสดงรายการภาษีไว้ไม่ถูกต้องครบถ้วน โจทก์มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับชำระภาษีถ้ามี ให้ถูกต้องครบถ้วน แต่ถ้าไม่มีจำนวนภาษีในเดือนภาษีเปลี่ยนแปลงไปผู้ประกอบการจดทะเบียนก็ยังคงมีหน้าที่มายื่นแบบแสดงรายการภาษีเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่งให้ถูกต้อง โดยไม่ต้องชำระภาษีแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า โจทก์ส่งสินค้าประเภทเซรามิคไปขายที่ประเทศมาเลเซียและประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นการส่งสินค้าออกนอกราชอาณาจักรเพื่อส่งไปต่างประเทศอันเป็นการส่งออกตามนัย มาตรา 77/1 (14) แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์จึงเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนสำหรับการประกอบกิจการประเภทการส่งออก สินค้าที่มิใช่การส่งออกสินค้าซึ่งได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81 (3) แต่ตามมาตรา 80/1 (1) แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดให้ใช้อัตราภาษีร้อยละ 0 ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม แม้โจทก์จะยื่นแบบแสดงรายการภาษีไว้ไม่ถูกต้อง แต่โจทก์ไม่มีจำนวนภาษีในเดือนภาษีที่โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มตามเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 1 เปลี่ยนแปลงไป ที่โจทก์จะต้องนำมาชำระให้ถูกต้องพร้อมกับยื่นแบบแสดงรายการภาษีเพิ่มเติมตามมาตรา 83/4 แห่งประมวลรัษฎากร ดังนี้ กรณีของโจทก์จึงไม่ต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามมาตรา 89 (4) และ 89/1 แห่งประมวลรัษฎากร ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น"

พิพากษายืน

(จำลอง สุขศิริ - ยงยุทธ ธารีสาร - ปราโมทย์ ชพานนท์)

 

ปรับปรุงล่าสุด: 07-02-2021