คำพิพากษาฎีกาที่1196/2539 | |
นายสมาน สวัสดิ์นาวิน | โจทก์ |
กรมสรรพากร | จำเลย |
เรื่อง ขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์ | |
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ปวิธีพิจารณาความแพ่ง คำสั่งระหว่างพิจารณา (มาตรา 226) ประมวลรัษฎากร (มาตรา 12, 19, 20, 30, 76 ทวิ วรรคสาม) พ.ร.บ. จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรฯ (มาตรา 7(3)) | |
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เคยทำงานอยู่กับสำนักงานกฎหมายชื่อ ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลติลลิกี แอนด์ กิบบินส์ ระหว่างที่โจทก์ทำงานอยู่กับห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลดังกล่าว บริษัทรีนา แวร์ ตีสทริบิวเตอร์ส พีทีวาย จำกัด ได้เข้ามาเปิดสำนักงานสาขาในประเทศไทย และขอความช่วยเหลือในด้านกฎหมายจากห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลดังกล่าว โดยให้เป็นผู้ดำเนินการจดทะเบียนสาขาต่อสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์บริษัทรีนาแวร์ ดิสทริบิวเดอร์ส พีทีวาย จำกัด ขอให้โจทก์ลงชื่อเป็นผู้จัดการสาขาเพื่อให้สามารถทำการจดทะเบียนต่อสำนักงานทะเบียนดังกล่าวได้ เมื่อปี 2534 โจทก์ได้ไปยื่นคำร้องเพื่อจดทะเบียนนิติกรรมโอนที่ดินที่สำนักงานที่ดินเขตราษฎร์บูรณะเจ้าพนักงานที่ดินไม่ยอมจดทะเบียนให้โดยแจ้งว่าจำเลยได้มีคำสั่งยึดที่ดินดังกล่าว อ้างว่าโจทก์เป็นผู้ทำการแทนบริษัทรีนาแวร์ ดิสทริบิวเตอร์ส พีทีวาย จำกัด ต่อมาเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2534 โจทก์จึงได้รับประกาศยึดทรัพย์สินของโจทก์ ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2534 การยึดทรัพย์ดังกล่าวได้กระทำโดยจำเลยรู้อย่างแจ้งชัดว่าทรัพย์สินที่ถูกยึดมิได้เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท รีนา แวร์ ดีสทริบิวเดอร์ส พีทีวาย จำกัด ผู้ถูกประเมินภาษีขอให้เพิกถอนคำสั่งประกาศยึดทรัพย์ที่ บร. 1913/2534 ฉบับลงวันที่ 1 ตุลาคม 2534และเพิกถอนการอายัดรถยนต์ยี่ห้อฟอร์ด ฟัลคอนหมายเลขทะเบียน 8 ก-5835 กรุงเทพมหานคร และรถยนต์ยี่ห้อมาสด้า หมายเลขทะเบียน5 ห-2110 กรุงเทพมหานคร และให้จำเลยชำระค่าเสียหายจำนวน1,163600 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น จำเลยให้การว่า เจ้าพนักงานประเมินได้ทำการประเมิน ยึด อายัด ทรัพย์สินของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว และบริษัทมิได้อุทธรณ์การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินภายในกำหนดระยะเวลาตามกฎหมาย บริษัทจึงหมดสิทธินำคดีมาฟ้องร้องต่อศาลจึงได้ขอถอนฟ้องคดีที่ฟ้องจำเลยไว้และศาลได้มีคำสั่งจำหน่ายคดีจากสารบบความคดีถึงที่สุดแล้ว ปรากฏตามคดีหมายเลขแดงที่ 115/2535 ของศาลภาษีอากรกลางโจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะกล่าวอ้างอีกต่อไปว่าการประเมินไม่ถูกต้อง อีกทั้งได้แจ้งเตือนไปยังโจทก์ถึง 2 ครั้ง เมื่อโจทก์ได้รับทราบแล้วกลับเพิกเฉยจำเลยจึงได้ใช้อำนาจตามมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากร ยึดทรัพย์สินของโจทก์ ในการดำเนินการยึดทรัพย์เป็นอำนาจของจำเลยโดยเฉพาะไม่จำเป็นต้องเรียกโจทก์ไปไต่สวนก่อนแต่อย่างใด แต่ตามข้อเท็จจริงปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ของจำเลยได้เรียกโจทก์ไปไต่สวนแล้วแต่โจทก์เองกลับบิดพลิ้วและไม่ให้ความร่วมมือ ดังนั้น โจทก์จะอ้างเหตุว่า การยึดทรัพย์ของจำเลยกระทำไปโดยไม่มีอำนาจหาได้ไม่ และฟ้องของโจทก์ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลภาษีอากร ขอให้ยกฟ้อง ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนการยึดทรัพย์สินของโจทก์ตามประกาศยึดทรัพย์ที่ บร. 1913/2534 ลงวันที่ 1 ดุลาคม 2534 คำขออื่นให้ยก จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ''มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ คำสั่งงดสืบพยานของศาลภาษีอากรกลางชอบหรือไม่ และโจทก์ต้องรับผิดในหนี้ภาษีอากรรายนี้ตามมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากรหรือไม่ สำหรับในประเด็นข้อแรกนั้น จำเลยอุทธรณ์ว่า เมื่อบริษัทรีนา แวร์ ดิสทริบิวเดอร์ส พีทีวาย จำกัด มิได้อุทธรณ์การประเมิน ย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง และโจทก์ซึ่งเป็นตัวแทนก็ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องด้วย แม้ปัญหานี้จำเลยจะมิได้ให้การต่อสู้ไว้ แต่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยให้ เห็นว่า กรณีนี้เป็นเรื่องขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์มิใช่ขอให้เพิกถอนการประเมินซึ่งจะต้องอุทธรณ์การประเมินตามมาตรา 30 แห่ง ประมวลรัษฎากรโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์คดีนี้ต่อศาลภาษีอากรกลางนั้น เห็นว่า กรณีนี้เป็นเรื่องที่จำเลยเห็นว่าโจทก์จะต้องรับผิดในหนี้ภาษีอากรค้างที่พิพาท แต่โจทก์ไม่ชำระ จำเลยจึงได้ยึดทรัพย์สินของโจทก์ตามอำนาจในมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากรแต่โจทก์อ้างว่าโจทก์ไม่ต้องรับผิดในหนี้ภาษีอากรค้างรายนี้ จำเลยไม่มีอำนาจยึดทรัพย์สินของโจทก์ ขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์สินดังกล่าวซึ่งจะต้องพิจารณาและวินิจฉัยว่าโจทก์จะต้องรับผิดในหนี้ภาษีอากรค้างรายนี้หรือไม่ จึงเป็นคดีที่พิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากรซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลภาษีอากรตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 7(2) โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์คดีนี้ต่อศาลภาษีอากรกลาง อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนอุทธรณ์ข้อต่อมาว่า คำสั่งงดสืบพยานของศาลภาษีอากรกลางชอบหรือไม่ปรากฏจากถ้อยคำสำนวนว่า เมื่อสืบพยานโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายที่มีหน้าที่นำสืบก่อนไปแล้ว 1 ปาก ได้เลื่อนไปสืบพยานโจทก์ต่อพอถึงวันนัดศาลภาษีอากรกลางได้เลื่อนการสืบพยานโจทก์ไปอีกเพื่อนัดพร้อมสอบถามคู่ความเกี่ยวกับข้อเท็จจริงบางประการ และเมื่อถึงวันนัดพร้อมคือวันที่ 23 ธันวาคม 2536 ศาลภาษีอากรกลางจึงได้สอบถามข้อเท็จจริงบางประการจากคู่ความทั้งสองฝ่าย แล้วศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว ให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย นัดฟังคำพิพากษาวันที่ 29 ธันวาคม 2536 และศาลภาษีอากรกลางก็ได้พิพากษาคดีในวันที่ 29 ธันวาคม 2536 โดยนำข้อเท็จจริงจากการสอบถามคู่ความมาวินิจฉัยชี้ขาดคดี ดังนี้ คำสั่งงดสืบพยานของศาลภาษีอากรกลางในกรณีนี้เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา หากคู่ความจะอุทธรณ์ต้องโต้แย้งคำสั่งไว้ แต่ปรากฏว่าจำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งดังกล่าว ทั้งๆ ที่มีเวลาโต้แย้งได้เพราะนับจากวันที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งจนถึงวันที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาคดีห่างกันถึง 6 วัน จำเลยจึงต้องห้าม อุทธรณ์คำสั่งนี้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนอุทธรณ์ข้อสุดท้ายที่ว่า โจทก์ต้องรับผิดในหนี้ภาษีอากรรายนี้หรือไม่นั้นเห็นว่า แม้จะฟังว่าโจทก์เป็นลูกจ้าง ผู้ทำการแทน หรือผู้ทำการติดต่อในการประกอบกิจการของบริษัท รีนา แวร์ ดีสทริบิวเดอร์ส พีทีวาย จำกัด ในประเทศไทยซึ่งต้องรับผิดเสียภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร มาตรา 76 ทวิ ดังจำเลยอุทธรณ์ ข้อเท็จจริงก็ได้ความว่าเจ้าพนักงานประเมินยังมิได้เรียกโจทก์มาไต่สวนและแจ้งการประเมินภาษีอากรรายนี้ไปยังโจทก์ผู้ซึ่งต้องรับผิดเสียภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรมาตร 19,20 คงประเมินภาษีอากรรายนี้ไปยังนายเดวิด ไลแมน ผู้จัดการบริษัทดังกล่าวเท่านั้นทำให้โจทก์ไม่มีโอกาสอุทธรณ์การประเมินตามมาตรา 76 ทวิ วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากรเมื่อยังมิได้ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายบัญญัติไว้ให้ครบถ้วนจำเลยจึงยังไม่มีอำนาจยึดทรัพย์สินของโจทก์ตามมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากรที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการยึดทรัพย์สินของโจทก์จึงชอบแล้วอุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น" พิพากษายืน (นิเวศน์ คำผอง - จรัญ หัตถกรรม - ชลอ บุณยเนตร) |