คำพิพากษาฎีกาที่1195/2539 | |
นายประยุทธ โกวิทวณิชกานนท์ กับพวก | โจทก์ |
กรมสรรพากร กับพวก | จำเลย |
เรื่อง เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน | |
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลรัษฎากร มาตรา 39, 40(8) | |
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้พิพากษาว่า เงินมัดจำ 9,000,000 บาท ยังไม่เป็นเงินได้ของโจทก์ทั้งสองในปีภาษี 2533 ให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินจำเลยที่ 5 ตามแบบ ภ.ง ด.12 เลขที่ 1016/1135 (ที่ถูก 1016/1/1135) ลงวันที่ 24 ตุลาคม 2534 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เลขที่ 1/2536 ลงวันที่ 7 ธันวาคม 2535 จำเลยทั้งห้าให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.12 เลขที่ 1016/1/1135 ลงวันที่ 24 ตุลาคม 2534 จำนวนเงิน 12,091,741.21 บาท และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เลขที่ 1/2536 ลงวันที่ 7 ธันวาคม 2535 จำนวนเงิน 8,304,576.51 บาท จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 19กุมภาพันธ์ 2533 โจทก์ทั้งสองทำสัญญาจะขายที่ดินตาม น.ส. 3 ก. เลขที่ 326,1373 และ 1374 กับที่ดินตาม น.ส. 3 เลขที่ 319, 146 และ 400 ตำบลหนองอิรุณ อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี รวม 6 แปลง ให้แก่นางอารมณ์ กาญจนาภา ในราคา 31,416,375 บาท นางอารมณ์ได้ให้เงินมัดจำแก่โจทก์ทั้งสองในวันทำสัญญาจำนวน 9,000,000 บาท และนัดไปโอนที่ดินกันในวันที่ 19 มิถุนายน 2533 ตามหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญาวางมัดจำเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 160 แต่เมื่อถึงวันนัดมิได้มีการโอนที่ดินกัน วันที่ 20 มิถุนายน 2533 นางอารมณ์ได้ขออายัดที่ดินทั้ง 6 แปลง ตามหนังสือแจ้งการอายัดเอกสารหมาย จ.4วันที่ 22 ตุลาคม 2533 นางอารมณ์ยื่นฟ้องโจทก์ทั้งสองต่อศาลแพ่งอ้างว่าโจทก์ทั้งสองผิดสัญญา ขอให้โจทก์ทั้งสองคืนเงินมัดจำจำนวน 9,000,000 บาท และชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 19,000,000 บาท ตามเอกสารหมาย จ.5 โจทก์ทั้งสองให้การต่อสู้คดีและฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากนางอารมณ์ ตามเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 62 ถึง 66 ต่อมาเจ้าพนักงานประเมินได้ออกหมายเรียกโจทก์ทั้งสองเพื่อตรวจสอบภาษี เมื่อตรวจสอบแล้วเห็นว่าโจทก์ทั้งสองมิได้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าจากเงินมัดจำที่โจทก์ทั้งสองได้รับในปี 2533 เป็นเงินได้ 9,000,000 บาท จึงได้ประเมินให้โจทก์ทั้งสองเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้า โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่าเงินมัดจำจำนวน 9,000,000 บาท มิใช่เงินได้จากการขายที่ดินตามการประเมินแต่เป็นเงินได้อื่นๆ ตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร กรณีมีเหตุอันควรผ่อนผัน จึงลดเบี้ยปรับที่ได้เรียกเก็บไว้แล้วคงเหลือเรียกเก็บเพียงร้อยละ 50 ของเบี้ยปรับตามกฎหมาย เงินเพิ่มตามการประเมินเป็นเงินเพิ่มตามมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร ไม่อาจลดหรืองดได้ ส่วนภาษีการค้าเห็นว่าเงินมัดจำจำนวน 9,000,000 บาท ยังไม่เข้าลักษณะเป็นรายรับจากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเสียภาษีการค้า จึงพิจารณาปลดภาษีการค้า คงให้โจทก์ทั้งสองชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เบี้ยปรับและเงินเพิ่มรวม 8,304,576.51 บาท พร้อมทั้งเงินเพิ่มตามกฎหมาย ตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์เอกสารหมาย ล.2 แผ่นที่ 3 และ 4 มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ สำหรับการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของเจ้าพนักงานประเมินตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเอกสารหมาย จ.3 แผ่นที่ 11 เฉพาะที่เจ้าพนักงานประเมินเห็นว่าเงินมัดจำจำนวน 9,000,000 บาท ที่โจทก์ทั้งสองได้รับมาในปี 2533 เป็นเงินได้จากการขายที่ดินและการประเมินภาษีการค้าของเจ้าพนักงานประเมินตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีการค้า เอกสารหมาย จ.3 แผ่นที่ 5 นั้น คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้มีคำวินิจฉัยว่า เงินมัดจำมิใช่เงินได้จากการขายที่ดินตามการประเมิน แต่เป็นเงินได้อื่นๆ ตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร และเงินมัดจำดังกล่าวยังไม่เข้าลักษณะเป็นรายรับจากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเสียภาษีการค้าแล้ว ดังนั้น จึงคงมีปัญหาตามอุทธรณ์ว่าโจทก์ทั้งสองได้รับเงินมัดจำจำนวน 9,000,000 บาท แล้วหรือไม่ หากโจทก์ทั้งสองได้รับเงินมัดจำแล้วเงินมัดจำดังกล่าวเป็นเงินได้อื่นๆ ตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากรซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือไม่ ตามคำฟ้องโจทก์ทั้งสองอ้างว่า โจทก์ทั้งสองยังไม่ได้ริบเงินมัดจำจำนวน 9,000,000 บาท และจะมีสิทธิริบเงินมัดจำหรือไม่ยังไม่ทราบจำเลยทั้งห้าให้การว่า โจทก์ทั้งสองได้บอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายแก่นางอารมณ์และริบเงินมัดจำแล้ว เห็นว่า ปรากฏว่าเมื่อเจ้าพนักงานประเมินออกหมายเรียกโจทก์ทั้งสองเพื่อตรวจสอบภาษี โจทก์ทั้งสองมอบอำนาจให้นายมรกต สังขทัต ณ อยุธยา ไปให้ถ้อยคำและตอบข้อซักถามของเจ้าพนักงานประเมินตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 96 และนายมรกตให้การต่อเจ้าพนักงานประเมินตามเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 93 ถึง 95 ว่า เมื่อนางอารมณ์ไม่มารับโอนที่ดินในวันนัดทนายความของโจทก์ทั้งสองได้ทำหนังสือบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและขอริบเงินมัดจำไปยังนางอารมณ์ ซึ่งตรงตามหนังสือบอกเลิกสัญญาของทนายความโจทก์ทั้งสองที่ส่งถึงนางอารมณ์ ฉบับลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2533 เอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 162 และ 163 ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสองได้ใช้สิทธิตามสัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญาวางมัดจำริบเงินมัดจำจำนวน 9,000,000 บาท แล้ว ที่นางอารมณ์ฟ้องเรียกเงินมัดจำและเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ทั้งสองต่อศาลแพ่ง เป็นการฟ้องหลังจากที่โจทก์ทั้งสองได้ริบเงินมัดจำแล้ว ทั้งในคดีดังกล่าวโจทก์ทั้งสองได้ให้การต่อสู้ว่านางอารมณ์เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ทั้งสองมีสิทธิริบเงินมัดจำได้ จึงไม่ต้องคืนเงินมัดจำ ซึ่งแสดงว่าโจทก์ทั้งสองถือว่าเงินมัดจำจำนวน 9,000,000 บาท ที่โจทก์ทั้งสองริบตกเป็นของโจทก์ทั้งสองแล้ว หาใช่ว่าโจทก์ทั้งสองยังมิได้รับเงินมัดจำหรือเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสอง จะมีสิทธิริบเงินมัดจำหรือไม่ยังไม่ทราบ อันจะถือว่าเงินมัดจำเป็นเพียงสิทธิเรียกร้องที่โจทก์ทั้งสองจะได้รับมาในภายหน้าไม่ เงินมัดจำที่โจทก์ทั้งสองได้ริบจำนวน 9,000,000 บาท เป็นเงินที่โจทก์ทั้งสองได้รับเนื่องจากนางอารมณ์ซึ่งเป็นคู่สัญญาปฏิบัติผิดสัญญา จึงเป็นเงินได้จากการอื่นๆ ตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากรและเป็นเงินได้พึงประเมินที่โจทก์ทั้งสองมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา39 แห่งประมวลรัษฎากร การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินเฉพาะส่วนที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มิได้แก้ไขและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้ว อนึ่ง ที่โจทก์ทั้งสองแก้อุทธรณ์ว่าโจทก์ทั้งสองมิใกล้มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี หากโจทก์ทั้งสองต้องแพ้คดีก็ขอให้งดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มทั้งหมดนั้น เห็นว่า เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลภาษีอากรกลาง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาอุทธรณ์ของจำเลยทั้งห้าฟังขึ้น" พิพากษากลับให้ยกฟ้อง (ชลอ บุณยเนตร - สุนพ กีรติยุติ - สมพงษ์ สนธิเณร) |