คำพิพากษาฎีกาที่803/2539 | |
ธนาคารกรุงไทย จำกัด | โจทก์ |
กรมสรรพากร | ผู้ร้อง |
นายจรูญ โกยสมบูรณ์ กับพวก | จำเลย |
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง แพ่ง อายุความของเจ้าหนี้ต่อเจ้ามรดก (มาตรา 1754 วรรคสาม) วิธีพิจารณาความแพ่ง บังคับคดี สิทธิของบุคคลภายนอก ขอเฉลี่ยทรัพย์ (มาตรา 271, 287, 290 วรรคสาม) ป. รัษฎากร (มาตรา 12) | |
กรณีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามให้ร่วมกันชำระหนี้ตามหนังสือรับรองหนี้ที่จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้และจำเลยที่ 2 กับนางนำหาหรือหลำหา โกยสมบูรณ์เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 2 และทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ในฐานะทายาทของนางนำหาโดยจำเลยที่ 1 และที่ 3 ตกลงชำระหนี้ให้โจทก์เป็นเงิน 2,500,000 บาท หากผิดนัดยอมให้โจทก์บังคับคดีได้เต็มตามฟ้องเป็นเงิน4,477,659.95 บาท พร้อมดอกเบี้ยและให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 1 และทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้จนครบ ต่อมาจำเลยที่ 1 และที่ 3 ผิดนัด โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 4289 พร้อมบ้านและที่ดินโฉนดเลขที่ 1517 ของจำเลยที่ 1 ซึ่งขายทอดตลาดไปแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้ ต่อมาโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 1903, 4061 ของจำเลยที่ 1 ขณะนี้อยู่ระหว่างการขายทอดตลาด ระหว่างการบังคับคดี จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายโดยนางสาวรัชนี โกยสมบูรณ์ ผู้จัดการมรดกรับทราบการบังคับคดีและเข้ามาดูแลการขายทอดตลาดตลอดมา ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 1 โดยนางสาวรัชนี โกยสมบูรณ์ ผู้จัดการมรดกกับนายประสิบสิน โกยสมบูรณ์ นางสาวอนงค์ โกยสมบูรณ์ นางสาวโสภา โกยสมบูรณ์ และนางสาวรัตนา โกยสมบูรณ์ มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2528 ครึ่งปีจากรายได้การค้าอสังหาริมทรัพย์ 73,447,673 บาท และภาษีการค้าเนื่องจากประกอบการค้าโดยไม่ได้จดทะเบียนการค้าและไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีการค้าประจำปี 2528 จำนวน 10,749,200 บาท แก่เจ้าหน้าที่สรรพากรเขต 8 แด่จำเลยที่ 1 กับพวกไม่ชำระค่าภาษีทั้งสองรายการให้ผู้ร้องภายในกำหนด จำเลยที่ 1 กับพวกมีหนี้ภาษีค้างชำระแก่ผู้ร้องเป็นเงินทั้งสิ้น 84,195,316 บาท ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิสามัญเหนือทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 84,195,316 บาท ซึ่งผู้ร้องชอบที่จะได้รับชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยที่ 1 ก่อนเจ้าหนี้อื่น ขอให้สั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีจ่ายเงิน 84,195,316 บาท จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยที่ 1 ให้แก่ผู้ร้องก่อนเจ้าหนี้รายอื่น โจทก์คัดค้านว่า ผู้ร้องมิได้เป็นเจ้าหนี้ภาษีอากรของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 มิได้ประกอบกิจการอย่างใดที่จะต้องเสียภาษีและค้างชำระค่าภาษีอากร และผู้ร้องมิได้แจ้งการประเมินภาษีโดยชอบ ค่าภาษี 84,195,316 บาท เป็นเงินที่สูงเกินกว่าความเป็นจริง ผู้ร้องมีสิทธิอย่างเจ้าหนี้สามัญ จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายเมื่อปี 2528 แต่ผู้ร้องหาได้ใช้สิทธิเรียกร้องภายในกำหนด 1 ปี หนี้ภาษีอากรของผู้ร้องจึงขาดอายุความ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเฉลี่ยทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ได้ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีของผู้ร้องขาดอายุความหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่าผู้ร้องมิได้ใช้สิทธิเรียกร้องหนี้ภาษีอากรค้างภายในกำหนด 1 ปี นับแต่ได้รู้หรือควรรู้ถึงความตายของจำเลยที่ 1 จึงขาดอายุความเห็นว่า แม้ผู้ร้องจะมิได้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 1 แต่เมื่อจำเลยที่ 1เป็นหนี้ภาษีอากรค้างแก่ผู้ร้อง ผู้ร้องโดยอธิบดีย่อมมีอำนาจสั่งยึดหรืออายัดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 เพื่อให้ได้รับชำระหนี้ภาษีอากรค้างได้ โดยผู้ร้องไม่จำเป็นต้องใช้สิทธิเรียกร้องด้วยการฟ้องคดีต่อศาลก่อนตามที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา 12 วรรคสอง สิทธิของผู้ร้องตามประมวลรัษฎากรดังกล่าวถือได้ว่าเป็นสิทธิอื่นๆซึ่งบุคคลภายนอกอาจขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินได้ตามกฎหมายซึ่งบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 287 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ผู้ร้องมีสิทธิที่จะร้องขอเฉลี่ยทรัพย์สินของลูกหนี้ได้ตามมาตรา 290 วรรคสาม อีกทั้งการยึดหรืออายัดและขายทอดตลาดของผู้รับผิดต้องเสียภาษีอากร ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 วรรคสี่ บัญญัติว่า ''วิธีการยึดและขายทอดตลาดทรัพย์สินให้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยอนุโลม..." และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 ก็บัญญัติว่า "...คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดี (เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง..." เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ร้องได้แจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าไปยังผู้จัดการมรดกและทายาทของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2535 ตามเอกสารหมาย ร.5 และ ร.6หลังจากผู้จัดการมรดกและทายาทของจำเลยที่ 1 ได้รับหนังสือแจ้งการประเมินดังกล่าวแล้วไม่นำเงินภาษีอากรชำระให้ผู้ร้อง ผู้ร้องย่อมสามารถใช้อำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 ได้ภายในกำหนดเวลาสิบปีนับแต่วันที่จะใช้อำนาจตามกฎหมายดังกล่าว เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ภาษีอากรค้างเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2535 อันเป็นเวลาภายในกำหนดสิบปีที่ผู้ร้องได้ใช้อำนาจตามมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากร วิธีการดังกล่าวเป็นกรณีของการบังคับชำระหนี้ซึ่งผู้ร้องอาจบังคับได้ภายในสิบปีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา 12 วรรคสี่ ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 271 มิใช่การใช้สิทธิเรียกร้องโดยการฟ้องคดี จึงไม่อาจอ้างอายุความ 1 ปีนับแต่เมื่อเจ้าหนี้ได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรคสาม มาใช้ได้ คดีของผู้ร้องจึงไม่ขาดอายุความศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น'' พิพากษายืน (สละ เทศรำพรรณ - สุรินทร์ นาควิเชียร - ถวิล อินทรักษา) |