เมนูปิด

คำพิพากษาฎีกาที่ 2606/2537 
บริษัท สยามกลการ จำกัดโจทก์
กรมสรรพากรกับพวกจำเลย
เรื่อง การเรียกเก็บภาษีการค้ากับภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่ม 
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ป.รัษฎากร อุทธรณ์การประเมิน (มาตรา 30) พ.ร.บ. จัดตั้งศาลภาษีอากรฯ
(มาตรา 8)

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2531 และวันที่ 3 มีนาคม 2531โจทก์ซื้อปั้นจั่นใช้แล้วพร้อมอุปกรณ์เข้ามาในราชอาณาจักรรวม 2 ชุด เสียอากรขาเข้าในพิกัดประเภทที่ 8426.19 เสียภาษีการค้า เสียภาษีบำรุงเทศบาลแล้วทั้ง 2 ชุด แต่จำเลยที่ 1 มีความเห็นว่าสินค้าโจทก์ควรเสียภาษีในพิกัดประเภทที่ 8705.10 เจ้าพนักงานจำเลยแจ้งด้วยว่าโจทก์สำแดงรายการในใบขนสินค้าเป็นเท็จ ทำให้ค่าภาษีอากรที่พึงชำระขาดไปโจทก์ต้องใช้หนังสือค้ำประกันของธนาคารกรุงเทพ จำกัด ถึง 3 ฉบับวางประกัน จึงนำของออกจากอารักขาของจำเลยได้ โจทก์โต้แย้งและได้ฟ้องจำเลยที่ 1 เพื่อให้วินิจฉัยเรื่องพิกัดอัตราศุลกากรและราคาสินค้าที่จะใช้เป็นฐานคำนวณค่าภาษีอากรตามกฎหมาย ในที่สุดศาลฎีกาพิพากษาในเรื่องพิกัดอัตราศุลกากรและราคาสินค้ายืนตามศาลภาษีอากรกลางว่าอยู่ในพิกัดที่โจทก์ชำระและราคาที่โจทก์สำแดงไว้ ต่อมาจำเลยที่ 1แจ้งยอดเงินค่าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลให้โจทก์ชำระ โจทก์จำต้องชำระ ทั้งนี้เพื่อจะได้รับหนังสือค้ำประกันของธนาคารกรุงเทพจำกัด คืนจากจำเลย แต่โจทก์ไม่เห็นด้วยกับเหตุผลในการเรียกเก็บเงินดังกล่าว จึงมีหนังสือชี้แจงจ้อเท็จจริงและขอคืน จำเลยปฏิเสธการที่จำเลยที่ 1 ให้โจทก์ชำระภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มอีกเป็นการไม่ชอบ เพราะสินค้าปั้นจั่นที่โจทก์นำเข้ามาทั้ง 2 ชุด โจทก์ได้ชำระค่าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลครบถ้วนตามกฎหมายแล้วการเรียกเก็บภาษีการค้าเพิ่มของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่มีข้ออ้างตามกฎหมายที่จะเรียกเก็บและยึดเงินของโจทก์ไว้ จำเลยต้องคืนเงินแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 406ขอให้พิพากษาว่าจำเลยเรียกเก็บเงินจากโจทก์ซ้ำซ้อนสองครั้งเป็นการไม่ชอบ ให้จำเลยคืนเงิน 2,685,328 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7ครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 12 กันยายน 2534 จนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองให้คืนเงินค่าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล กล่าวคือ ภายหลังจากที่เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 ได้คิดคำนวณเงินค่าภาษีอากรที่โจทก์จะต้องชำระเพิ่มเสร็จแล้วได้ส่งแบบแจ้งการประเมินอากรขาเข้า ภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล ไปยังโจทก์เพื่อให้ชำระค่าภาษีอากร และโจทก์ได้รับแบบแจ้งการประเมินอากรแล้ว แต่โจทก์มิได้อุทธรณ์การประเมินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากร โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองเงินค่าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลที่จำเลยที่ 1 ได้รับชำระจากโจทก์จึงเป็นการชำระหนี้อันชอบด้วยกฎหมายมิใช่ลาภมิควรได้ หาใช่เป็นการเก็บภาษีซ้ำซ้อนแต่อย่างใดไม่ ขอให้พิพากษายกฟ้อง

ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า "เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1ได้ออกแบบแจ้งการประเมินตามเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 2 และแผ่นที่ 3 ไปถึงโจทก์ซึ่งเป็นการประเมินให้โจทก์ชำระอากรขาเข้า ภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลตามกฎหมายส่วนเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 1 และแผ่นที่ 2 นั้น เป็นหนังสือทวงถามให้โจทก์ชำระค่าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลที่ค้างชำระอยู่ มิใช่เป็นการแจ้งการประเมินภาษีอากร ย่อมไม่มีผลเป็นการประเมินภาษีอากรตามกฎหมายแต่อย่างใดจึงต้องถือแต่เฉพาะการประเมินตามแบบแจ้งการประเมินเอกสารหมายล.1 แผ่นที่ 2 และแผ่นที่ 3 เท่านั้นเป็นสำคัญ สำหรับเอกสารหมายจ.1 แผ่นที่ 6 และแผ่นที่ 7 เป็นหนังสือจากโจทก์มีไปถึงจำเลยที่ 1ขอให้จำเลยที่ 1 คืนเงินค่าภาษีการค้ากับภาษีบำรุงเทศบาลที่จำเลยที่ 1ประเมินเพิ่มพร้อมด้วยเงินเพิ่มภาษีดังกล่าวแก่โจทก์ เนื่องจากโจทก์เห็นว่าเป็นการเรียกเก็บภาษีที่ไม่ถูกต้อง โดยอ้างถึงหนังสือทวงถามตามเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 1 และแผ่นที่ 2 แต่หนังสือฉบับนี้ยื่นเกินกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่โจทก์ได้รับแบบแจ้งการประเมินตามเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 2 และแผ่นที่ 3 ย่อมไม่มีผลตามกฎหมายเช่นกันจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าหนังสือดังกล่าวเป็นการอุทธรณ์การประเมินภาษีการค้ากับภาษีบำรุงเทศบาลต่อคณะกรรมการพิจารณา อุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30 โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้เพิกถอนการประเมินในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลมาตั้งแต่แรกแล้ว การที่โจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้ ขอให้จำเลยทั้งสองคืนเงินภาษีการค้ากับภาษีบำรุงเทศบาลที่จำเลยที่ 1 ประเมินเพิ่มย่อมมีผลเท่ากับเป็นการใช้สิทธิอุทธรณ์การประเมินภาษีอากรดังกล่าวต่อศาลโดยตรง โดยไม่ผ่านขั้นตอนตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30 ที่บัญญัติว่า จะต้องอุทธรณ์การประเมินภาษีอากรต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เสียก่อนนั่นเอง จึงต้องห้ามมิให้นำคดีเกี่ยวกับภาษีดังกล่าวมาฟ้องต่อศาลภาษีอากรกลาง ตามความในมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 และเมื่อผลแห่งคำวินิจฉัยเป็นไปดังกล่าวข้างต้น ที่โจทก์อุทธรณ์ต่อไปว่า การประเมินภาษีการค้ากับภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มของจำเลยที่ 1ได้ถูกยกเลิกโดยคำพิพากษาของศาลในคดีก่อนแล้วก็ดี การที่จำเลยที่ 1เรียกเก็บภาษีการค้ากับภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มจากโจทก์ในคดีนี้เป็นการขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมายก็ดี จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษามา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น"

พิพากษายืน

(สะสม สิริเจริญสุข - เจริญ นิลเอสงฆ์ - กู้เกียรติ สุนทรบุระ)

 

ปรับปรุงล่าสุด: 07-02-2021