คำพิพากษาฎีกาที่463/2537 |
|
กรมสรรพากร | โจทก์ |
ห้างหุ้นส่วนจำกัดคอฟฟี่เดอเซ็นทรัล กับพวก | จำเลย |
เรื่อง คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลย และพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย |
|
กฎหมายที่เกี่ยวข้องแพ่ง กำหนดเวลารับผิดของผู้เป็นหุ้นส่วน (มาตรา 1068)พ.ร.บ.ล้มละลายฯ | |
โจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยทั้งสามเป็นบุคคลล้มละลาย จำเลยที่ 1 ที่ 3 ไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นเวลาเกิน 2 ปีนับแต่จำเลยที่ 2 ออกจากห้างจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดในหนี้ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่จำเลยที่ 2 ออกจากห้างจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 มิใช่ผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1 ที่ 3 เด็ดขาด ให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 2 โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 2 เด็ดขาด นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "...จำเลยที่ 2 ออกจากการเป็นหุ้นส่วนของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 ไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคม 2528 แม้จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดในหนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 ได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนจำเลยที่ 2 ออกไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1051 แต่โจทก์ไม่ได้แจ้งการประเมินภาษีอากรให้จำเลยที่ 2 ทราบ คงแจ้งการประเมินภาษีอากรไปยังห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 หุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ในขณะนั้น การที่โจทก์ส่งหนังสือเตือนให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินภาษีที่ค้างอยู่เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2529 ตามเอกสารหมาย จ.58 และวันที่ 2 เมษายน 2530 ตามเอกสารหมาย จ.59 หนังสือเตือนดังกล่าวไม่ปรากฏว่าได้ระบุแจ้งผลการประเมินตามรายการอากรสำแดง หรือมีรายการแยกแยะเป็นรายละเอียดภาษีอากรที่จะชำระเอาไว้แต่อย่างใด ถือไม่ได้ว่าเป็นการแจ้งการประเมินภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร แต่เป็นหนังสือทวงถามให้ลูกหนี้ชำระหนี้ตามปกติดังเช่นหนี้ทั่วไป ปรากฏว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2530 อันเป็นเวลาภายหลัง 2 ปี นับแต่จำเลยที่ 2 ออกจากการเป็นหุ้นส่วนของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 ไปแล้ว จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดในหนี้ที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 ได้ก่อให้เกิดขึ้นตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1068 ที่บัญญัติว่าความรับผิดของผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน อันเกี่ยวแก่หนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนตนออกจากหุ้นส่วนนั้น ย่อมจำกัดสองปีนับแต่เมื่อออกจากหุ้นส่วน ดังนั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธินำหนี้ดังกล่าวมาฟ้องจำเลยให้ล้มละลายได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 2 เด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น" พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ (สุทธิ นิชโรจน์ - สวิน อักขรายุธ - ทองเลื่อน พูลพิพัฒน์) |