คำพิพากษาฎีกาที่180/2536 |
|
กรมศุลกากร กับพวก | โจทก์ |
นายสงวน วิวัลย์ศิริกุล | จำเลย |
เรื่อง ภาษีอากร |
|
กฎหมายที่เกี่ยวข้องพระราชบัญญัติ ประมวลรัษฎากร (ม.30) ศุลกากร พ.ศ. 2469 (ม.2) | |
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2526 จำเลยได้นำเครื่องไฟฟ้าสำหรับปรุงอาหารยี่ห้อ อิมมาร์เฟล็กซ์ รุ่น ซี วี โอ 700 จำนวน120 ชุด เจ้ามาในราชอาณาจักร จำเลยได้ยื่นใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการค้า สำแดงราคา 109,509.95 บาท ขอชำระอากรขาเข้า 36,134.28 บาท ภาษีการค้า 33,114.59 บาท และภาษีบำรุงเทศบาล 3,311.46 บาท เจ้าพนักงานของโจทก์ที่ 1 เชื่อว่าราคาที่สำแดงเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาด จึงได้ตรวจปล่อยสินค้าให้จำเลยรับเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2526 ต่อมาเจ้าพนักงานของโจทก์ที่ 1 ได้ตรวจสอบพบว่าราคาสินค้าที่จำเลยสำแดงได้ในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าต่ำกว่าราคาอันแท้จริงในท้องตลาดจึงได้ประเมินราคาสินค้าเพิ่มให้ถูกต้องเป็นเงิน 178,259.27 บาทและประเมินราคาสินค้าเพิ่มขึ้นเป็นอากรขาเข้า 58,825.55 บาทภาษีการค้า 55,003068 บาท ภาษีบำรุงเทศบาล 5,500.37 บาทเมื่อนำเงินภาษีอากรที่จำเลยชำระแล้วไปหักออก จำเลยจะต้องชำระอากรขาเข้า 22,687.27 บาท ภาษีการค้า 21,213.29 บาท และภาษีบำรุงเทศบาล 2,121.33 บาท รวมเป็นเงิน 46,021.89 บาทเจ้าพนักงานประเมินของโจทก์ที่ 1 แจ้งการประเมินให้จำเลยทราบแล้ว จำเลยไม่ชำระและไม่อุทธรณ์คัดค้านการประเมินภายในกำหนด 30 วันนับแต่วันได้รับแจ้งการประเมินจึงต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือน หรือเศษของเดือนคิดถึงวันฟ้องเกินจำนวนภาษีการค้าที่ต้องชำระ จึงคิดเพิ่มภาษีบำรุงเทศบาลเป็นเงิน 2,121.33บาท รวมเป็นเงินเพิ่มทั้งสิ้น 23,334.62 บาท รวมภาษีอากรและเงินเพิ่มเป็นเงิน 69,356.51 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ จำเลยให้การว่า จำเลยสำแดงราคาสินค้าตามราคาซื้อขายจำเลยเป็นผู้นำสินค้าตามฟ้องเป็นรายแรก จะถือเอาราคาที่มีผู้นำเข้ามาใน พ.ศ. 2527 มาเทียบเคียงและประเมินย้อนหลังเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง ศาลภาษีอารกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า "คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองในประการแรกว่า การประเมินให้จำเลยเสียอากรขาเข้าเพิ่มขึ้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของนางสาวจรรยา โรนดิลก เจ้าพนักงานประเมินอากรของโจทก์ที่ 1 ว่าเหตุที่พยานประเมินราคาสินค้าที่จำเลยนำเข้าเพิ่มขึ้นเป็นชุดละ 136.50 เหรียญสิงคโปร์ เพราะได้รับหนังสือทักท้วงจากกองศุลกาธิการว่าราคาที่ได้ประเมินเพิ่มเป็นชุดละ 83.20เหรียญสิงคโปร์ ไม่ถูกต้อง เนื่องจากสินค้าชนิดเดียวกันมีผู้นำเข้ารายอื่นนำเข้ามาตามใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเลขที่125-0291 ตามเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 15 สำแดงราคาไว้ชิ้นละ105 เหรียญสิงคโปร์ ซึ่งเป็นราคาเฉพาะผ่าครอบ เมื่อเปรียบเทียบราคาสินค้าพิพาทที่จำเลยนำเข้าซึ่งเป็นเครื่องอบอาหารครบชุดแล้ว จึงประเมินราคาสินค้าพิพาทที่จำเลยนำเข้าเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 30 เป็นราคาชุดละ136.50 เหรียญสิงคโปร์ ดังนี้เห็นว่า ราคาสินค้าที่โจทก์ที่ 1 นำมาเปรียบเทียบเป็นราคาสินค้าที่นางวรรณชลี กรัยวิเชียร นำเข้ามาตามในขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าอกสารหมาย จ.1แผ่นที่ 15 และบัญชีราคาสินค้าพร้อมคำแปลเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่13 และ 14 แต่ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 2วรรคสิบสอง บัญญัติว่า "คำว่า" ราคาอันแท้จริงในท้องตลาด" หรือ"ราคา" แห่งของอย่างใด นั้นหมายความว่าราคาขายส่งเงินสด ในส่วนของขาเข้าไม่รวมค่าอากร ซึ่งจะพึงขายของเข้าหรือส่งของออก แล้วแต่กรณีโดยไม่มีหักทอนหรือลดหย่อนราคาอย่างใด" ดังนั้นจึงไม่อาจนำราคาสินค้าที่นางวรรณชลีนำเข้ามาตามใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 15 มาเปรียบเทียบถือเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้นได้ ทั้งนี้เพราะสินค้าพิพาทที่จำเลยนำเข้ามาตามใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเอกสารหมาย จ.01 ระบุว่า มีจำนวน 120 ชุด ซึ่งมีจำนวนมากพอที่จะแสดงให้เห็นว่า จำเลยสั่งซื้อและนำเข้ามาเพื่อจำหน่าย จึงมีเหตุผลให้เชื่อว่าเป็นราคาขายส่งเงินสด แต่สินค้าที่นายวรรณชลีนำเข้ามาตามบัญชีราคาสินค้าเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 13 และคำแปลแผ่นที่ 14 ระบุว่ามีเพียง 2 ชิ้น เท่านั้น ซึ่งเป็นการสั่งซื้อและนำเข้ามาเพียงจำนวนเล็กน้อย เรียกได้ว่าเป็นการสั่งซื้อและนำเข้ามาเพื่อใช้เองมากกว่านำเข้ามาเพื่อจำหน่าย ราคาที่นางวรรณชลีสำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการค้าเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 15จึงรับฟังไม่ได้ว่าเป็นราคาขายส่งเงินสดตามที่ระบุไว้ในมาตรา 2 วรรคสิบสองดังกล่าวข้างต้น ยิ่งกว่านั้นยังปรากฏต่อไปด้วยว่าสินค้าที่นางวรรณชลี นำเข้าตามเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 15 ระบุว่านำเข้าเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2525 แต่สินค้าพิพาทที่จำเลยนำเข้าตามเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 1 ระบุว่าเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2526 อันเป็นระยะเวลาห่างกันถึงเกือบ 1 ปีมิใช่เป็นการนำเข้า ณ เวลาเดียวกันหรือใกล้เคียงกันอันจะนำมาเปรียบเทียบหาราคาอันแท้จริงในท้องตลาดตามบทนิยมของมาตรา 2 วรรคสิบสองดังกล่าวข้างต้นได้เช่นกัน ดังนั้นการที่เจ้าพนักงานของโจทก์ที่ 1 นำราคาสินค้าที่นางวรรณชลีนำเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเอกสารหมาย จ.1แผ่นที่ 15 มาเป็นเกณฑ์คำนวณหาราคาอันแท้จริงในท้องตลาด แล้วประเมินคาราสินค้าพิพาทที่จำเลยนำเข้าเพิ่มขึ้น เป็นราคาชุดละ 136.50เหรียญสิงคโปร์ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 มาตรา 2 วรรคสิบสอง และย่อมส่งผลให้การประเมินให้จำเลยเสียอากรขาเข้าเพิ่มขึ้นโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ประเด็นวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองในประการต่อไปมีว่า จำเลยต้องเสียภาษีการค้า และภาษีบำรุงเทศบาล รวมทั้งเงินเพิ่มภาษีทั้งสองประเภทนี้ให้แก่โจทก์ที่ 2 หรือไม่ เห็นว่าตามคำฟ้อง คำให้การ และทางนำสืบของคู่ความทุกฝ่าย ข้อเท็จจริงรับกันฟังได้ยุติว่าในส่วนของภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล ซึ่งเป็นภาษีอากรฝ่ายสรรพากร จำเลยมิได้อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30 ภาษีส่วนนี้จึงยุติตามที่เจ้าพนักงานของโจทก์ที่ 1 ได้ประเมินเพิ่มแล้ว จำเลยจึงต้องรับผิดชำระภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลพร้อมเงินเพิ่มภาษีทั้งสองประเภทดังกล่าว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 46,669.24 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 2 ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องของโจทก์ที่ 2 ด้วยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองในข้อนี้ฟังขึ้น ส่วนที่จำเลยแก้อุทธรณ์ว่า เมื่อการประเมินของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมายโจทก์ย่อมไม่อาจเรียกร้องให้จำเลยชำระภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล นั้น ก็เห็นว่า ในส่วนของภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล แม้การประเมินจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยก็ต้องอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เมื่อจำเลยไม่อุทธรณ์จำเลยต้องเสียภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลตามการประเมินที่ยุติไปแล้วนั้น แก้อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ไม่ขึ้น" พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลรวมทั้งเงินเพิ่มภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 46,669.24 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 2 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง (ไพฑูรย์ เนติโพธิ์ ตัน เวทไว โสภณ จันเทรมะ) |