เมนูปิด

คำพิพากษาฎีกาที่3847/2535

 

นางรัชนี นิลรูญ

โจทก์

นายสุธรรม จิตรธรรม หรือจิตต์ กับพวก

จำเลย

เรื่อง สัญญากู้ยืม

 

กฎหมายที่เกี่ยวข้องป.รัษฎากร การปิดอากรแสตมป์ (มาตรา 108) วิธีพิจารณาความแพ่ง
ฟ้องซ้อน (มาตรา 173 วรรคสอง (1)

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นสามีของนางคำมี จำเลยที่ 2 เป็นมารดาของนางคำมี จำเลยที่ 3 ที่ 4 เป็นบุตรของนางคำมีกับจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2528 จำเลยที่ 1 กับนางคำมีร่วมกันกู้เงินจากโจทก์ 300,000 บาท ยอมเสร็จดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี กำหนดชำระคืนในวันที่ 11 มิถุนายน 2528 ต่อมาวันที่ 3 พฤษภาคม 2528 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 155 ไว้แก่โจทก์เพื่อเป็นประกันและในวันเดียวกันนั้นนางคำมีได้ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 กับนางคำมียังไม่ชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยแก่โจทก์ ซึ่งเมื่อคำนวณถึงวันฟ้อง รวมเป็นเงิน 358,840 บาท โจทก์ทวงถามและยอกกล่าวบังคับจำนองแล้ว แต่จำเลยทั้งสี่เพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระเงินก็ให้นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จำนองออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินจากการขายทอดตลาดไม่พอชำระหนี้ก็ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของำเลยทั้งสี่ เท่าที่รับมรดกจากนางคำมีออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ

จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยกู้เงินจากโจทก์ ลายมือหรือไม่จำเลยไม่ทราบ แม้นางคำมีจะกู้เงินจากโจทก์ แต่ก็มิได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 1 สัญญากู้จึงตกเป็นโมฆียะ จำเลยที่ 1 ขอถือเอาคำให้การนี้เป็นการบอกล้างสัญญากู้เงินดังกล่าว จำเลยที่ 1 ไม่เคยทำสัญญาจำนองเพื่อเป็นประกันเงินกู้จากโจทก์ ลายมือชื่อจำเลยที่ 1 ในสัญญาจำนองเป็นลายมือปลอมสัญญากู้เงินจึงตกเป็นโมฆะด้วย ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำหรือซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 367/2528 ของศาลชั้นต้น ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ในฐานะส่วนตัวและทายาทโดยธรรมของนางคำมี จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ในฐานะทายาทโดยธรรมของนางคำมี ร่วมกันชำระเงิน 300,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย มิฉะนั้นไม้ยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 155 ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูนกับสิ่งปลูกสร้างในที่ดินออกขาทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ หากขาได้ไม่พอชำระหนี้ก็ให้ยึดทรัพย์สินอื่น ๆ ของจำเลยทั้งสี่ เท่าที่ได้รับมรดกจากนางคำมีออกขายทอกตลาดชำระหนี้แก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสี่ในฐานะผู้รับมรดกของนางคำมีผู้ตายร่วมกันชำระเงิน 300,000 บาท บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

โจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "...เห็นว่า แม้คดีนี้กับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 367/2528 ของศาลชั้นต้นจะมีประเด็นว่าจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนจำนองหรือไม่แต่คดีหมายเลขดำที่ 367/2528 ของศาลชั้นต้นดังกล่าว จำเลยที่ 1 คดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลย ขอให้เพิกถอนสัญญาจำนอง ส่วนคดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีเรื่องก่อนฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3และที่ 4 เป็นจำเลยดังนั้นจะต้องเป็นเรื่อโจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่นจึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ที่จะเป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ฟังไม่ขึ้นเท่ากัน...

ปัญหาสุดท้ายที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 มีว่า สัญญากู้เงินตามเอกสารหมาย จ.2 ปิดอากรแสตมป์ในสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.2ไม่ครบถ้วน และที่มาปิดไว้ในหนังสือในสัญญาค้ำประกันเงินกู้ก็ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะเป็นตราสารที่แยกจากกัน เห็นว่า สัญญากู้เงินตามเอกสารหมาย จ.2 และสัญญาค้ำประกันเป็นแบบพิมพ์ในกระดาษแผ่นเดียวกันโดยด้านหน้าเป็นสัญญากู้เงิน ด้านหลังเป็นสัญญาค้ำประกัน ในการทำสัญญากู้เงินรายนี้ไม่มีสัญญาค้ำประกันด้วยบุคคล โจทก์ใช้อากรแสตมป์ดวงละ 5 บาท และ 20 บาท ในการปิดสัญญากู้เงิน เมื่อพิจารณาสัญญากู้เงินด้านหน้าแล้ว หากปิดอากรแสตมป์ดวงละ 5 บาท ลงไปถึง 36 ดวง ยอมทับข้อความในสัญญา การที่โจทก์ปิดอากรแสตมป์ต่อมาทางด้านหลังสัญญากู้เงิน ซึ่งไม่มีการทำสัญญาค้ำประกันเอาไว้ แสดงให้เห็นว่าเป็นการปิดเพิ่มเติมต่อจากด้านหน้า จึงไม่เป็นการฝ่าฝืนประมวลรัษฎากรแต่ประการใด ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ฟังไม่ขึ้น

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ในฐานะส่วนตัวร่วมรับผิดชำระเงิน300,000 บาท ให้แก่โจทก์ด้วย นอกจากที่แก้แล้วให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

(สุทธิ นิชโรจน์ - บุญศรี กอบกุล - เพี้ยน พุทธสุอัตตา)

 

ปรับปรุงล่าสุด: 31-01-2021