คำพิพากษาฎีกาที่1940/2535 |
|
นางมาลีพรรณ พานประเสริฐ | โจทก์ |
นายพะเนียง ด้วงปลี กับพวก | จำเลย |
เรื่อง สัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกัน |
|
กฎหมายที่เกี่ยวข้องป.รัษฎากร ใช้ตราสารเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่ง (มาตรา 118) | |
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 105,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระก็ขอให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ชำระแทน จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 105,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 60,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์ หากไม่ชำระก็ให้จำเลยที่ 1 ชำระแทน จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาในชั้นนี้ว่า จำเลยที่ 1 ได้กู้ยืมเงินไปจากโจทก์หรือไม่เพียงใดและจำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่... ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมเงินไปจากโจทก์จำนวน 60,000 บาท ตกลงชำระดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี มีจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกัน ครบกำหนดแล้วจำเลยที่ 1 ไม่ชำระคืนให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันก็ไม่ชดใช้ให้แทน จำเลยทั้งสองต้องรับผิดชดใช้เงินต้นและดอกเบี้ยให้โจทก์ตามฟ้อง ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ไม่อาจอ้างสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.1 เป็นพยานหลักฐาน เพราะอากรแสตมป์ที่ติดในเอกสารดังกล่าวได้ติดก่อนฟ้องคดีนี้ โดยทนายความเป็นคนติดและขีดฆ่าเองนั้น เห็นว่าประมวลรัษฎากร มาตรา 118 บัญญัติว่า "ตราสารใด ไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์จะใช้ต้นฉบับ คู่ฉบับ คู่ฉีก หรือสำเนาตราสารนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้จนกว่าจะได้เสียอากรแสตมป์ครบจำนวนตามอัตราในบัญชีท้ายหมวดนี้และขีดฆ่าแล้ว ฯลฯ" ตามบทบัญญัติดังกล่าวหาได้บังคับให้ปิดและขีดฆ่าอากรแสตมป์ในขณะทำสัญญาไม่ ดังนี้แม้มิได้ปิดและขีดฆ่าอากรแสตมป์แต่แรกในขณะทำสัญญา แต่เมื่อได้ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนและขีดฆ่าแล้วในขณะฟ้องคดีนี้จะโดยผู้อ้างเป็นผู้กระทำเองหรือผู้อ้างขอให้ศาลสั่งให้เจ้าหน้าที่สรรพากรจัดการให้ก็มีผลเช่นเดียวกัน ศาลจึงรับฟังสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ได้..." พิพากษายืน (ชาติศักดิ์ ธรรมศักดิ์ - ตัน เวทไว - ชวลิต พรายภู่) |