คำพิพากษาฎีกาที่1500/2535 |
|
นายชัยวุฒิ ประภามงคล โดยนางงามศรี ประภามงคล ผู้จัดการมรดก | โจทก์ |
นายวรารัตน์ กันตวิรุฒ | จำเลย |
เรื่อง สัญญากู้ |
|
กฎหมายที่เกี่ยวข้องวิธีพิจารณาความแพ่ง คำให้การ (มาตรา 177) ป.รัษฎากรตราสาร | |
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายชัยวุฒิ ประภามงคล ก่อนนายชัยวุฒิ ประภามงคล ถึงแก่กรรม จำเลยยืมเงินจากนายชัยวุฒิ ประภามงคล เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2529 จำนวน 20,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี กำหนดชำระหนี้ภายในวันที่ 5 มกราคม 2530 นับแต่จำเลยกู้เงินแล้วจำเลยมิได้ชำระดอกเบี้ยหรือต้นเงินให้แก่ผู้ให้กู้เลย ขอบังคับให้จำเลยชำระเงิน 23,131 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระหนี้ครบถ้วน จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยกู้เงินนายชัยวุฒิ ประภามงคล ผู้ตาย สัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นสัญญาที่จำเลยทำไว้ให้แก่ผู้ตาย แต่จำเลยยังไม่ได้รับเงินจากผู้ตาย เพราะยังไม่สามารถตกลงกันเรื่องอัตราดอกเบี้ย ผู้ตายได้ยึดถือสัญญากู้ไว้ ต่อมาผู้ตายตายลงโจทก์จึงนำสัญญามาฟ้องเป็นคดีนี้ สัญญากู้ไม่มีการปิดอากรแสตมป์ให้ถูกต้องตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า จำเลยได้รับเงินกู้ตามสัญญากู้แล้วแต่ยังไม่ชำระหนี้พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 20,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 พฤษภาคม 2529 จนกว่าจะชำระหนี้ครบถ้วน จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีมีปัญหาเฉพาะข้อกฎหมายว่า การที่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยประเด็นข้อต่อสู้ของจำเลยว่า สัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องมิได้ปิดอากรแสตมป์ให้ครบถ้วนไม่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานต่อศาลตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 แต่อย่างใดแล้ว พิพากษาให้จำเลยแพ้คดีนั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า ในเรื่องการกู้เงินประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 บัญญัติว่า "การกู้ยืมเงินเกินกว่าห้าสิบบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเงินเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่..." ในคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยโดยอาศัยสำเนาสัญญากู้ยืมเงินตามเอกสารฟ้องโจทก์หมายเลข 2 เมื่อจำเลยทำไว้ให้กับผู้ตายซึ่งเป็นสามีโจทก์ โจทก์จึงไม้มีภาระจะต้องพิสูจน์และส่งเอกสารสัญญากู้ตามเอกสารท้ายฟ้องดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานสัญญากู้ซึ่งโจทก์อ้างแม้ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ก็รับฟังได้ตามคำรับของจำเลยว่ามีการกู้กันจริงจึงไม่มีกรณีต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 ซึ่งบัญญัติว่า "ตราสารใดไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์จะใช้ต้นฉบับ คู่ฉบับ คู่ฉีก หรือสำเนาเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้จนกว่าจะได้เสียอากรปิดแสตมป์ครบจำนวนตามอัตราในบัญชีท้ายหมวดนี้และขีดฆ่าแล้ว..." จำเลยซึ่งอ้างว่าการกู้เงินยังไม่บริบูรณ์เพราะจำเลยยังมิได้รับเงินกู้ก็ต้องมีภาระการพิสูจน์เมื่อจำเลยไม่อาจพิสูจน์ให้ศาลเชื่อฟังได้ดังกล่าว และศาลฟังข้อเท็จจริงได้ว่าจำเลยได้รับเงินตามสัญญากู้ไปแล้วไม่ใช้จำเลยก็ต้องแพ้คดี ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยตามฟ้องให้โจทก์ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น" พิพากษายืน (อากาศ บำรุงชีพ - ชลิต ประไพศาล - ดำรุพงศ์ อิศรางกูล ณ อยุธยา) |