คดีนี้สืบเนื่องมาจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด เป็นโจทก์ฟ้องจำเลย ทั้งสองขอให้ล้มละลาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ (จำเลย) ทั้งสองไว้เด็ดขาดกรมสรรพากร เจ้าหนี้ ยื่นคำขอรับชำระหนี้ค่าภาษีเงิน ได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้า จำนวน 562,510.25 บาท จากกอง ทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ 2 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดตรวจคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 104 แล้ว ไม่มีผู้โต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ ของเจ้าหนี้รายนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้ว เห็นว่า ลูกหนี้ที่ 2 ค้างชำระ ค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาพร้อมเงินเพิ่มสำหรับปี 2512,2513 และ 2515 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 808.97 บาท แต่เจ้าหน้าที่ไม่ได้ใช้สิทธิ เรียกร้องในมูลหนี้ค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปี 2512 ถึงปี 2515 จึงขาดอายุความ 10 ปี ส่วนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2516 จำนวน 188,120.24 บาท ลูกหนี้ที่ 2 ได้ผ่อนชำระหนี้แก่เจ้าหนี้เป็นเงิน สิ้น 225,744.29 บาท ลูกหนี้ที่ 2 ได้ผ่อนชำระหนี้แก่เจ้าหนี้เป็นเงินทั้งสิ้น 185,570 บาท ซึ่งลูกหนี้ที่ 2 ได้กระทำภายในกำหนดอายุความ 10 ปี ถือได้ว่าลูกหนี้ที่ 2 ได้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องด้วยการ ใช้เงินบางส่วน อายุความจึงสะดุดหยุดลงนับถึงวันที่เจ้าหนี้ใช้สิทธิเรียก ร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คดียังไม่ขาดอายุความ เมื่อหักเงินที่ได้ ชำระไปแล้ว ลูกหนี้ที่ 2 คงต้องรับผิดเป็นเงิน 40,174.29 บาท กับเงิน เพิ่มอีกร้อยละ 20 ของเงินภาษีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 27 เป็นเงิน 8,034.86 บาท รวมเป็นเงิน ทั้งสิ้น 48,209.15 บาท ส่วนภาษีการค้า ในปี 2512 ถึง 2516 ลูกหนี้ที่ 2 ค้างชำระภาษีทั้งสิ้น 465,584.78 บาท แต่เจ้าหนี้ไม่ได้ใช้สิทธิเรียกร้องดังกล่าวต่อลูกหนี้ที่ 2 แต่อย่างใด คดีจึงขาดอายุความ 10 ปี ต้องห้ามมิให้ได้รับชำระหนี้ตาม มาตรา 94 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 เห็นควรให้เจ้าหนี้ได้รับชำระ หนี้เฉพาะหนี้ค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2516 เป็นเงิน 48,209.15 บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ 2 ตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 130 (8) ส่วนหนี้ภาษีอื่นและจำนวนเงิน ที่เกินมาเห็นควรให้ยกเสียทั้งสิ้น ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ค่าภาษี เงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2516 เป็นเงิน 48,209.15 คำขอนอกจาก นี้ให้ยกตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าหนี้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เจ้าหนี้ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ที่เจ้าหนี้ฎีกาว่า การที่เจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์นำยอดเงินค่าภาษีอากรค้างที่ ลูกหนี้ที่ 2 นำมาชำระเป็นเงิน 185,570 บาท ซึ่งเป็นภาษีตามใบแจ้งการ ประเมินเป็นเงิน 156,482.25 บาท รวมเงินเพิ่มตามมาตรา 27 เป็นเงิน 39,168.75 บาท (ที่ถูกน้าจะเป็น 29,087.75 บาท) มาหักจากเงินภาษี ตามใบแจ้งการประเมินที่ค้าชำระ 225,744.29 บาท โดยไม่ได้คำนวณ เงินเพิ่มตามมาตรา 27 เป็นการขัดต่อหลักการเหตุผลข้อเท็จจริงและข้อ กฎหมายดังกล่าวนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 27 เป็นการขัดต่อหลักการเหตุผลข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายดังกล่าวนั้น ศาล ฎีกาเห็นว่า ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 27 หาได้บัญญัติถึงหลักเกณฑ์ และวิธีการชำระค่าภาษีอากรค้างว่าจะต้องชำระเงินเพิ่มก่อนหลังกัน อย่างไรจึงเป็นข้อเท็จจริงที่เจ้าหนี้จะต้อนำสืบ มิใช่ข้อที่เจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์หรือศาลจะสามารถรู้ได้เอง คดีนี้เมื่อเจ้าหนี้มิได้นำสืบให้ ปรากฏชัดว่า เงินที่ลูกหนี้ที่ 2 นำมาชำระให้นั้นเป็นการชำระหนี้ค่าภาษี ตามใบแจ้งการประเมินจำนวน 156,482.25 บาท และชำระหนี้เงินเพิ่ม ตามมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากรอีกเป็นเงิน 30,087.75 บาท (ที่ถูกน้าจะเป็น 29,087.75 บาท) จึงรับฟังตามที่เจ้าหนี้ฎีกาไม่ได้ แต่เมื่อเจ้าหนี้มีหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้ ไปยังลูกหนี้ที่ 2 ตาม เอกสารหมาย จ.4 ลูกหนี้ที่ 2 ได้รับหนังสือดังกล่าวแล้วตามเอกสารหมาย จ.12 และไม่ปรากฏว่าลูกหนี้ที่ 2 ได้ชำระค่าภาษีเงินได้ภายใน 30วัน นับแต่วันได้รับแจ้งการประเมิน ลูกหนี้ที่ 2 จึงต้องเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 20 ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 27 เป็นเงินเพิ่ม 45,148.85 บาท รวมเป็นเงินที่ลูกหนี้ที่ 2 จะต้องชำระทั้งสิ้น 270,893.14 บาท ได้ความ ว่าลูกหนี้ที่ 2 ผ่อนชำระแล้วแล้วจำนวน 185,570 บาท จึงคงค้างชำระ อยู่อีก 85,323.14 บาท แต่เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ส่วนนี้เป็นเงิน 83,114.44 บาท จึงให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ตามจำนวนที่ขอ ที่เจ้า พนักงานพิทักษ์ทรัพย์และศาลล่างทั้งสองนำเงินที่ลูกหนี้ที่ 2 ผ่อนชำระไป หักจากค่าภาษีเงินได้ตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีโดยไม่คำนวณเงิน เพิ่มร้อยละ 20 ด้วยเป็นการไม่ถูกต้อง... ส่วนที่เจ้าหนี้ฎีกาว่า หนี้ภาษีการค้าของปี 2512 ถึงปี 2516 ยัง ไม่ขาดอายุความนั้น เห็นว่า ตามคำให้การของนายกลยุทธ ยอดอุดม พยานของเจ้าหนี้ว่า ได้มีการชำระเงินกันบางส่วนแล้วเป็นเงิน 95,615.81 บาท แต่จะชำระเมื่อใดไม่ปรากฏแม้ข้าเท็จจริงจะได้ความว่า ลูกหนี้ที่ 2 ได้รับทราบการประเมินและไม่มีเจ้าหนี้รายอื่นโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ รายนี้ก็ไม่อาจถือหรือรับฟังได้ว่ามีการรับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิ เรียกร้องด้วยการใช้เงินบางส่วนอันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลง ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย ว่าหนี้ภาษีการค้าขาดอายุความ 10 ปี ชอบแล้ว..." พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ค่าภาษีเงินได้บุคคล ธรรมดาปี 2516 เป็นเงิน 83,114.44 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ (จรัส อุดมวรชาติ - สวิน อักขรายุธ - สมชัย ศิริบุตร) |