เมนูปิด

คำพิพากษาฎีกาที่512/2534

 

บริษัทผลเจริญ จำกัด

โจทก์

กรมสรรพากร์ กับพวก

จำเลย

เรื่อง ภาษีอากร

 

กฎหมายที่เกี่ยวข้องประมวลรัษฎากร การเก็บภาษีจากกำไรสุทธิของนิติบุคคล เงื่อนไขการคำนวณ
รายได้สุทธิ รายการที่เหลือเป็นรายจ่ายในการคำนวณรายได้สุทธิ (มาตรา 65,
65 ทวิ, 65 ตรี )

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับหนังสือประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากสำนักงานสรรพากรพื้นที่ 3 สำหรับปี พ.ศ. 2521 จำนวน 463,255.05บาท ปี พ.ศ. จำนวน 497,213.14 บาท ปี พ.ศ. 2523 จำนวน 344,838 บาท โดยเรียกเก็บภาษีจากโจทก์ซึ่งเป็นค่าสั่งสินค้าเข้ามาในประเทศแทนบริษัทไทยวินิล จำกัด คิดอัตรากำไรจากกำไรมาตรฐานขั้นต้นที่กำหนดไว้และถือเอาเป็นรายได้ที่โจทก์ต้องเสียภาษี นอกจากนั้นจำเลยที่ 1 ยังคิดค่าสินค้าเสื่อมคุณภาพหรือแตกหักใช้การไม่ได้ ซึ่งโจทก์หักออกจากบัญชีสินค้าคงเหลือ มาคิดเป็นการขายและนำมาประเมินภาษีกับโจทก์ โจทก์ได้อุทธรณ์การประเมินต่อจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 มีคำวินิจฉัยให้โจทก์ชำระภาษีปี พ.ศ. 2521 โดยคิดเป็นภาษีการค้าจำนวน 57,683.51 บาท ภาษีเงินได้นิติบุคคลจำนวน 424,641.20 ปี พ.ศ. 2522 ภาษีการค้าจำนวน34,168.36 บาท ภาษีเงินได้นิติบุคคลจำนวน 455,778.71 บาท ปี พ.ศ. 2523 ภาษีการค้าจำนวน 20,066.79 บาท ภาษีเงินได้นิติบุคคลจำนวน 316,101 บาท การประเมินของจำเลยเป็นการขัดต่อข้อเท็จจริงในการประกอบกิจการค้าของโจทก์ และขัดต่อประมวลรัษฎากร มาตรา 65, 65 ทวิ, 65 ตรี เพราะกำไรมาตรฐานขั้นต้นนั้นกฎหมายกำหนดให้ถือเป็นเกณฑ์ในการคำนวณเพื่อเรียกเก็บอากรขาเข้า หาได้กำหนดไว้ให้คำนวณเพื่อหากำไรสุทธิในการเสียภาษีเงินได้ใหม่อีกทั้งการที่จำเลยถือเอาสินค้าคงเหลือที่โจทก์ตัดออกจากบัญชีสินค้าคงเหลือโดยที่โจทก์ไม่ได้ขายสินค้าดังกล่าวเพราะเป็นสินค้าเสื่อมคุณภาพ นำมาถือว่าโจทก์ได้ขายสินค้านั้นไปแล้ว และมาคำนวณภาษีกับโจทก์เป็นการไม่ถูกต้อง เพราะไม่มีการขายจริงเป็นการเรียกเก็บภาษีจากโจทก์ที่ขัดต่อกฎหมายและความเป็นจริง ขอให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่ให้โจทก์ต้องชำระภาษีอากรเพิ่มจำนวน 1,308,439.67 บาท

จำเลยให้การว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินตามรายละเอียดในหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ 1041/2/02614-02616 ลงวันที่ 30 มิถุนายน 2526 และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ฉบับเลขที่ 112 ก./2527-112 ค./2527 จึงเป็นการชอบแล้ว สำหรับรายการเกี่ยวกับรายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี และภาษีการค้านั้น โจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เพียงแต่โจทก์อุทธรณ์ขอให้งดหรือลดเบี้ยปรับเท่านั้น จึงฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีการค้าไม่ได้

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว วินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในส่วนที่โจทก์สั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศแล้วมอบให้แก่บริษัทไทยวินิล จำกัด เพราะโจทก์สั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศแล้วมอบให้แก่บริษัทไทยวินิล จำกัด มิได้สั่งซื้อเพื่อโจทก์เองกรรมสิทธิในทรัพย์สินจึงไม่เคยตกเป็นของโจทก์และโจทก์ไม่อาจขายหรือโอนทรัพย์สินดังกล่าวได้ ดังนั้นการที่จำเลยประเมินเรียกเก็บภาษีจากการสั่งสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรของโจทก์ดังกล่าวจึงไม่ชอบนั้น นายสันติ มหาปิยะศิลป์ ผู้จัดการบริษัทโจทก์เบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า บริษัทโจทก์สั่งสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักรแทนบริษัทไทยวินิล จำกัด โดยโจทก์ไม่ได้คิดผลกำไรจากบริษัทดังกล่าวซึ่งหมายความว่าโจทก์สั่งสินค้าให้บริษัทดังกล่าวโดยไม่คิดค่าตอบแทนใด ๆ ข้ออ้างของพยานโจทก์ปากนี้ขัดต่อเหตุผล เพราะการสั่งสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรนั้น ผู้สั่งต้องรับผิดชอบชำระราคาสินค้าให้ผู้ขายทั้งจะต้องรับผิดชอบในการชำระค่าอากรขาเข้าต่อกรมศุลกากรด้วย หากโจทก์กระทำให้บริษัทดังกล่าวโดยไม่คิดค่าตอบแทน โจทก์ก็มีแต่จะขาดทุน เพราะบริษัทดังกล่าวอาจไม่ชดใช้ราคาหรืออากรขาเข้าให้โจทก์ก็ได้ พยานโจทก์ปากนี้ก็เบิกความรับว่าบริษัทไทยวินิล จำกัดดำเนินกิจการขาดทุน เป็นหนี้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด ประมาณ 100 ล้านบาทและไม่สามารถชำระหนี้ให้ธนาคารได้ เมื่อฐานะของบริษัทไทยวินิล จำกัดไม่อาจชำระหนี้สินได้เช่นนี้ ย่อมไม่มีเหตุที่โจทก์จะต้องไปเสี่ยงโดยลงทุนสั่งซื้อสินค้าให้บริษัทนี้โดยไม่คิดค่าตอบแทน อย่างไรก็ตามนายสันติและนางสาว จันทนี ยงภิศาลภพ พยานโจทก์อีกปากหนึ่งซึ่งมีหน้าที่ทำบัญชีให้โจทก์เบิกความตรงกันว่า โจทก์สั่งซื้อสินค้าในนามของโจทก์เอง ผู้ขายสินค้าจากต่างประเทศก็ส่งสินค้ามาให้โจทก์ในนามของโจทก์ การเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตก็กระทำในนามของโจทก์มิได้อ้างถึงบริษัทไทยวินิล จำกัด แต่อย่างใด ในการยื่นใบขนสินค้าต่อกรมศุลกากรก็กระทำในนามของโจทก์ นอกจากนี้ได้ความจากนางสาวจันทนีว่า ตามบัญชีของบริษัทโจทก์ เมื่อบริษัทโจทก์จ่ายเงินให้แก่ธนาคารตามเลตเตอร์ออฟเครดิตที่เปิดไว้ ก็จะลงบัญชีลูกหนี้ว่าบริษัทไทยวินิลจำกัด เป็นลูกหนี้โจทก์ และเมื่อบริษัทดังกล่าวชำระหนี้ให้โจทก์ ทางโจทก์ก็จะลดยอกหนี้ได้ ความดังนี้จึงฟังได้ว่าโจทก์สั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศเพื่อและในนามของโจทก์เองมิใช่สั่งแทนบริษัทไทยวินิล จำกัด แล้วโจทก์โอนขายสินค้าดังกล่าวให้บริษัทไทยวินิล จำกัด การที่จำเลยคำนวณภาษีเงินได้ของโจทก์จากอัตรากำไรมาตรฐานของสินค้าตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรจึงชอบแล้วในเมื่อโจทก์ไม่ยอมรับว่ามีการโอนหรือขายสินค้าและโจทก์ไม่เคยขายสินค้าชนิดเดียวกันนี้ให้แก่ผู้อื่น จึงไม่มีวิธีการอื่นใดที่จำเลยจะคำนวณภาษีเงินได้ของโจทก์โดยให้ความเป็นธรรมได้มากกว่าวิธีนี้...

สำหรับฎีกาโจทก์ที่อ้างว่าจำเลยประเมินสินค้าที่โจทก์อ้างว่าชำรุดเสียหายเป็นสินค้าที่โจทก์จำหน่ายไปเป็นการไม่ชอบนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ได้ออกหมายเรียกโจทก์มาตรวจสอบภาษีตามเอกสารหมาย ล.4 นั้น บริษัทโจทก์ได้มอบอำนาจให้นางสาวจันทนีหรือสุนีย์ ยงภิศาลภพ มาให้ถ้อยคำแก่เจ้าพนักงานประเมินแทนโจทก์ตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย ล.6 ซึ่งระบุว่าโจทก์ยอมรับผิดชอบต่อการกระทำใด ๆ ของนางสาวจันทนีเสมือนหนึ่งโจทก์ได้กระทำการนั้น ๆ เอง นางสาวจันทนีได้ให้การต่อเจ้าพนักงานประเมินว่า นางสาวจันทนีได้ตรวจพบว่าบริษัทโจทก์ลงบัญชีคุมสินค้าว่ามีสินค้าชำรุดและเสื่อมราคาเป็นจำนวนมากและบริษัทได้ตัดบัญชีสินค้าเหล่านั้นออกจากบัญชีสินค้าคงเหลือโดยที่มิได้ลงบัญชีขายการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง นางสาวจันทนียอมรับผิดและยอมรับว่าเมื่อบริษัทตรวจนับสินค้าคงเหลือไม่ตรงกับบัญชี บริษัทก็ได้ปรับปรุงรายการเหล่านั้นเป็นสินค้าชำรุด และได้ลงบัญชีซื้อเป็นต้นทุนขายไว้แล้วทั้งสิ้นแต่ยังมิได้ลงบัญชีขาย นางสาวจันทนียอมรับผิดและยอมให้เจ้าพนักงานประเมินราคาสินค้าซึ่งบริษัทไม่ได้ลงบัญชีขายไว้เป็นยอดขายของบริษัทโดยใช้ราคาเฉลี่ยหรือราคาปกติของการขายสินค้าของบริษัทแต่ละประเภทสินค้าในปีนั้น ๆเป็นเกณฑ์คำนวณปรากฏตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย ล.11 เมื่อเป็นดังนี้จึงต้องถือว่าโจทก์ยินยอมให้จำเลยประเมินสินค้าที่โจทก์อ้างว่าชำรุดเสียหายเป็นสินค้าที่โจทก์จำหน่ายไป จำเลยจึงมีอำนาจประเมินเช่นนั้นได้โดยชอบ...

ที่โจทก์ฎีกาข้อสุดท้ายว่า จำเลยประเมินภาษีการค้าของโจทก์โดยมิชอบนั้น โจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้เห็นว่าจำเลยประเมินภาษีการค้าโจทก์โดยไม่ชอบอย่างไรบ้าง ฟ้องโจทก์คัดค้านเฉพาะการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลเท่านั้น นอกจากนี้ในชั้นที่โจทก์อุทธรณ์คัดค้านการประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โจทก์ก็มิได้คัดค้านในเรื่องการประเมินภาษีการค้าแต่อย่างใด โจทก์เพียงขอให้งดหรือลดเบี้ยปรับสำหรับภาษีการค้าโดยโจทก์ยอมรับว่าโจทก์เข้าใจข้อกฎหมายคลาดเคลื่อน ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ที่เกี่ยวกับภาษีการค้า..."

พิพากษายืน

(ปิ่นทิพย์ สุจริตกุล - สวิน อักขรายุธ - ก้าน อันนานนท์)

 

ปรับปรุงล่าสุด: 31-01-2021